ชาเขียวมัทฉะเป็นอีกหนึ่งเมนูสำหรับใครหลายคนที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพและชื่นชอบการดื่มชาเป็นชีวิตจิตใจ แล้วรู้หรือไม่ว่าชาชนิดนี้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร กินชาเขียวมัทฉะทุกวันจะเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ มาค้นหาคำตอบไปพร้อมกันเลยค่ะ
ชาเขียวมัทฉะเป็นชาแบบไหน
ชาเขียวมัทฉะเป็นชาเขียวญี่ปุ่นที่มีลักษณะเป็นผงละเอียด มีสีเขียวเข้ม มีกลิ่นหอม และละลายน้ำได้ดี ชามัทฉะได้รับความนิยมนำไปชงกับน้ำร้อนหรือนมในรูปแบบของเครื่องดื่ม หรือนำมาทำขนมได้ด้วย
มัทฉะเกิดจากการนำใบชาเทนฉะที่ผ่านการปลูกอย่างพิถีพิถัน โดยการคลุมตาข่ายกันแสงให้ทั่วบริเวณที่ปลูกใบเทนฉะเพื่อไม่ให้ใบชาได้รับแสงแดดมากเกินไป ส่งผลให้ใบชาผลิตคลอโรฟิลล์มากยิ่งขึ้น จนใบชามีสีเขียวเข้ม หากใบชามีสีเข้มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีกลิ่นหอมมากขึ้นเท่านั้น ส่วนขั้นตอนการเก็บใบชาจะต้องเก็บบริเวณยอดอ่อนเท่านั้น และเลือกเด็ดด้วยมือทีละใบ หลังจากเก็บใบชามาแล้วจึงนำใบชาไปนึ่งเพื่อหยุดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) จากนั้นนำไปตากให้แห้งและบดจนเป็นผงด้วยเครื่องบดที่ทำจากหิน เพื่อเลี่ยงความร้อนที่ส่งผลทำให้ใบชาที่บดเสื่อมสภาพทันที
ชาเขียวมัทฉะแตกต่างจากชาเขียวทั่วไปอย่างไร
ชาเขียวมัทฉะแตกต่างจากชาเขียวทั่วไปตรงที่มัทฉะมีความเข้มข้นสูง จึงอุดมไปด้วยสารอาหารมากกว่าชาเขียวทั่วไปประมาณ 5 – 10 เท่า โดยสารอาหารส่วนใหญ่จะเป็นแร่ธาตุและกรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจำเป็นต่อระบบเผาผลาญไขมันในร่างกาย
นอกจากนี้มัทฉะยังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สารคาเทชิน และวิตามินต่าง ๆ จึงช่วยชะลอวัยและป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และที่สำคัญมีสาร EGCG (Epigallocatechin gallate) ช่วยเพิ่มมวลกระดูก และแอลธีอะนีน (L-Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีเฉพาะในชาเขียว ช่วยออกฤทธิ์ให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายง่ายขึ้น
ข้อดีของการกินชาเขียวมัทฉะทุกวัน
- ชาเขียวมัทฉะจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวม LDL และไตรกลีเซอไรด์ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของคอเลสเตอรอล LDL จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ชาเขียวมัทฉะมีส่วนผสมของกาเฟอีนประมาณ 3 เท่าหากเทียบกับชาเขียวประเภททั่วไป แถมยังให้พลังงานเท่ากับกาแฟ 1 แก้ว ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานมากกว่าชาทั่วไป ทำให้ร่างกายรู้สึกกะปรี้กะเปร่ายิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมี L-theanine ช่วยลดความเครียดความวิตกกังวลได้ดีด้วย
- ชาเขียวมัทฉะมีส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน และเนื่องจากใบชาเขียวมีสารช่วยรักษาระดับกรดที่ดีในช่องปาก หากคุณกินทุกวัน วันละ 1 ถ้วย จะช่วยให้สุขภาพช่องปากดียิ่งขึ้น
- ชาเขียวมัทฉะอุดมไปด้วยคาเทชิน (Catechins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติที่มีอยู่มากกว่าในใบชาทั่วไปถึง 137 เท่า นอกจากนี้ยังมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) ช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์และการเกิดโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ปอด เต้านม และต่อมลูกหมาก
ข้อเสียของการกินชาเขียวมัทฉะทุกวันเป็นเวลานาน
หนึ่งในคำาถามที่มีคนเข้าในผิดบ่อยๆก็คือ ‘ดื่มชาเขียวมากเกินไปจะอันตรายไหม’ แม้ว่าชาเขียวมัทฉะจะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ไม่สามารถกินได้เหมือนคนทั่วไป ได้แก่ ผู้ที่มีอาการท้องอืดเป็นประจำ, เด็กเล็ก, หญิงตั้งครรภ์, ผู้ป่วยโรคไต และโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจไม่ควรดื่มชาเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น นอกจากนี้หากใครชอบกินแบบใส่น้ำตาลหวาน ๆ เป็นประจำก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนจากน้ำตาลนั่นเอง
นอกจากนี้การกินชาเขียวมัทฉะในปริมาณที่มากเกินไปในทุกวันอาจส่งผลต่อร่างกายได้ เนื่องจากมีสารออกซาเลต (oxalate) สูง ซึ่งยับยั้งไม่ให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้เท่าที่ควร ทำให้ระดับแคลเซียมในปัสสาวะเพิ่มขึ้น จนก่อให้เกิดนิ่วในไตตามมา นอกจากนี้ชาเขียวมัทฉะไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคกระเพาะ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้ที่ประสบปัญหานอนไม่หลับเนื่องจากมีสารกาเฟอีนสูง
จากรายงานชาเขียวสกัดเข้มข้น (GTE) แสดงให้เห็นว่าการกินชาเขียวมัทฉะในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลต่อตับได้ด้วย เนื่องจากชาเขียวสกัดเข้มข้นมีสาร EGCG ตั้งแต่ 5 – 1,000 มิลลิกรัม หากกิน GTE 9.9 กรัมต่อวัน (เทียบกับการดื่มชาเขียว 24 แก้วต่อวัน) ซึ่งมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน (Hepatocellular injury) ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน
หากคุณเลือกกินชาเขียวมัทฉะที่มาจากแหล่งที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเสี่ยงต่อสารปนเปื้อน ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลง สารเคมี และสารหนูจากดินที่ปลูกต้นชา ดังนั้นควรบริโภคมัทฉะในปริมาณที่พอเหมาะ และเลือกชาที่ปลูกด้วยกระบวนการออร์แกนิก เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์แบบเต็ม ๆ และไม่เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพตามมาในอนาคตด้วย
นอกจากนี้หากกินก่อนนอนหรือกินก่อนออกกำลังกาย 2 ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดี ทั้งนี้ไม่ควรกินขณะท้องว่าง เนื่องจากชาเขียวมีฤทธิ์ทำให้ร่างกายขับน้ำออกมาจนเกิดอาการขาดน้ำ ผิวแห้ง ปวดหัว หรือเกิดแผลในกระเพาะอาหารตามมา
ควรกินชาเขียวมัทฉะ วันละกี่แก้วดีนะ?
โดยทั่วไปร่างกายของคนเราสามารถรับสารกาเฟอีนได้ไม่เกิน 200 มล. ต่อวัน หากมากเกินกว่านี้อาจทำให้นอนหลับยากและมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาได้ ดังนั้นปริมาณการดื่มชาที่เหมาะสมจึงอยู่ที่ 4 – 5 ถ้วย ต่อวันเท่านั้น
ดื่มชาเขียวตอนไหนถึงจะดีต่อสุขภาพ
แนะนำให้กินหลังมื้ออาหารอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารและนำไปใช้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งนี้แนะนำให้กินชาหลังมื้ออาหารเช้าจะดีที่สุด เนื่องจากชาเขียวมัทฉะมีกาเฟอีน หากดื่มหลังมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็น อาจทำให้นอนหลับยากยิ่งขึ้น
วิธีการชงชาเขียวมัทฉะให้น่ากินกว่าที่เคย
- ชงชาแบบดั้งเดิม เริ่มจากร่อนผงมัทฉะประมาณ 1 – 2 ช้อนชาลงไปในถ้วย เติมน้ำร้อน 2 ออนซ์ (ประมาณ 60 มล.) จากนั้นใช้แปรงไม้ไผ่คนให้เข้ากันจนเกิดฟองลอยขึ้นมาซึ่งหมายถึงว่าชาเขียวมัทฉะพร้อมดื่มแล้ว ทั้งนี้อาจเติมน้ำเข้าไปเล็กน้อยหากรู้สึกว่ารสชาติเข้มเกินไป หรือหากใครชอบแบบเข้ม ๆ แนะนำให้ผสมผงมัทฉะเพิ่มอีก 2 ช้อนชา และเติมน้ำเพียง 1 ออนซ์ (ประมาณ 30 มล.)
- ชงชามัทฉะลาเต้ หากต้องการดื่มชาเขียวมัทฉะแบบเย็น ๆ แนะนำให้เติมนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมอัลมอนด์ลงไปในชาเขียวได้เลย ทั้งนี้อย่าลืมอุ่นนมก่อนเติม หรือถ้าหากใครติดกินแบบรสหวานขึ้นมาหน่อยสามารถเติมหญ้าหวาน หรือน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย ส่วนใครที่ชื่นชอบการกินแบบเย็น ๆ แนะนำให้เติมน้ำแข็งลงไปเล็กน้อยพอให้รู้สึกเย็นสดชื่น
- ชาเขียวมัทฉะสมูทตี้ ใส่มัทฉะเพิ่มลงไปขณะชงชาประมาณ 1 – 2 ช้อนชา จากนั้นใส่ลงไปในเครื่องปั่นเพื่อทำเป็นสมูทตี้ชาเขียวมัทฉะลาเต้
บทความที่น่าสนใจ
7 อาหารสุขภาพ ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมทานจนถึงปัจจุบัน
7 อาหารลดน้ำตาลในเลือด ควบคุมอาหาร ป้องกันเบาหวานได้ชะงัด
5 เครื่องดื่มสำหรับผู้สูงวัย เพื่อสุขภาพที่ดี