ทุกท่านเคยได้รับของขวัญที่ประเมินค่าไม่ได้ในชีวิตไหมครับ ของขวัญที่เรายังคงเก็บไว้เพื่อระลึกถึงเรื่องราวดี ๆ เพื่อเตือนใจ หรือเพื่อรำลึกถึงใครสักคนหนึ่งในชีวิตที่เรา
เรื่องราวของการให้ของขวัญอันล้ำค่านี้เกิดขึ้นที่ เมืองชื่อเวลด์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา
โจรคนหนึ่งถูกวิสามัญโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐโคโลราโด เนื่องจากเขาทำการขโมยรถยนต์พร้อมหลบหนีการจับกุม
แต่ก่อนจะถูกวิสามัญ เขาได้สังหารรองนายอำเภอนามแซม บราวลีที่พยายามจะเข้าไปจับกุมตัวเขา
เหตุการณ์ความสูญเสียนายตำรวจที่เป็นคนดีตั้งใจปฏิบัติหน้าที่และมีประวัติการทำงานดีเยี่ยมอย่างแซมได้สร้างความเสียใจแก่เพื่อนตำรวจ ประชาชน และครอบครัวบราวลีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกีบแทนเยอร์ บราวลี ลูกชายของแซมที่มีความผูกพันกับคุณพ่อเป็นอย่างมาก
เป็นเวลา 5 ปีหลังจากที่แซมเสียชีวิต รถยนต์ที่แซมเคยใช้ในงานราชการได้ถูกนำมาประมูลขายเพื่อนำเงินที่ได้จากการประมูลไปสมทบทุนให้องค์กรการกุศลที่ชื่อว่า C.O.P.S. (Concerns of Police Survivors) หรือกองทุนช่วยเหลือครอบครัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิตในหน้าที่แล้วต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะขาดผู้นำครอบครัวที่เป็นตำรวจ
แทนเนอร์ที่ทราบข่าวก็ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้รถที่คุณพ่อเคยใช้งานมาเป็นของดูต่างหน้า แต่ด้วยราคาของรถที่ถูกตั้งราคาเปิดไว้สูงถึง 12,500 เหรียญสหรัฐนั้นสูงเกินกว่าที่เขาจะเอื้อมไหวได้ด้วยตัวคนเดียวแทนเนอร์จึงตัดสินใจตั้งแคมเปญระดมทุนในเว็บไซต์ ‘GoFundMe’ ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับการเปิดระดมทุนผ่านการบริจาคจากบุคคลทั่วไป
แม้จะได้เงินมาจำนวนหนึ่งซึ่งก็อาจจะยังไม่มากพอ ถึงอย่างนั้นแล้วแทนเนอร์ก็ยังมีความหวังว่าเขาคงจะได้ของดูต่างหน้าคุณพ่อชิ้นนี้มาครอบครอง ไม่แน่ว่าโชคอาจจะเข้าข้างเขาบ้างว่าจะไม่มีพ่อค้ารถที่ไหนมาประมูลแข่งกับเขาหรอก
เมื่อถึงวันประมูล การเคาะราคาเริ่มขึ้นอย่างดุเดือด ราคาค่อยๆ ขยับขึ้นจาก 12,500 เหรียญกลายเป็น 15,000 เพิ่มเป็น 20,000 และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สวนกับความรู้สึกของแทนเนอร์ที่ค่อย ๆ พังทลายลงอย่างช้า ๆ เขารู้ตัวในทันทีว่าเขาได้สูญเสียโอกาสที่จะครอบครองรถยนต์ของคุณพ่อไปแล้ว แม้คุณแม่ของแทนเนอร์ที่มานั่งร่งมประมูลด้วยอยู่ข้างๆ จะพยายามปลอบลูกชายอย่างไรความรู้สึกของแทนเนอร์ก็ดูจะไม่ดีขึ้น การแข่งขันด้านราคาทะลุจากราคาเปิดที่ 12,500 เหรียญพุ่งไปจนเกิน 50,000 เหรียญ เป็นราคาที่สูงมากๆ จนนายตำรวจท่านหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของแซมสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องออกมาประกาศขัดจังหวะการประมูล เพื่อย้ำเตือนทุกคนโดยเฉพาะแทนเนอร์ว่า เงินทั้งหมดที่ได้จากการประมูลจะนำไปสนับสนุนครอบครัวของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ ได้ยินเช่นนั้นแทนเนอร์ก็ค่อย ๆ ตั้งสติและนั่งรอฟังว่าผลการประมูลจะจบลงที่ใด
การประมูลยังดำเนินต่อไปอีกอย่างดุเดือดกลายเป็นไฮไลท์อันหนึ่งการประมูลในวันนั้นเลยทีเดียว จนสุดท้ายก็จบลงที่ราคา 60,000 เหรียญ โดยผู้ที่ประมูลได้คือสตีฟ เวลส์ชาวสวนท้องถิ่นที่มาประมูลในชุดธรรมดาๆ พร้อมหมวกคาวบอยหน้าตาใจดีที่แทนเนอร์ก็ไม่รู้จักว่าเค้าเป็นใคร
ภาพกุญแจรถที่ถูกยื่นให้สตีฟนั้นทำให้แทนเนอร์ใจสลายและมั่นใจเป็นแน่แท้แล้วว่าทุกอย่างได้จบลงสำหรับเขาแล้ว ความฝันที่จะได้ของต่างหน้าอย่างรถที่คุณพ่อของเขาใช้ขับตรวจไปทั่วเมืองของเขาจบลงอย่างเป็นทางการ
แต่เขาคิดผิด
ทันทีที่สตีฟได้รับกุญแจ เขาหันมามองแทนเนอร์และยื่นกุญแจรถที่ประมูลได้ให้พร้อมกับคำพูดสั้น ๆ แต่มีความหมายกับแทนเนอร์อย่างที่สุด
“แทนเนอร์ นี่รถของนาย”
ท่ามกลางความยินดีของคนทั้งหมดที่อยู่ในห้องประมูล แทนเนอร์เองตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน และเขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นได้อีกต่อไป เขาร้องไห้ออกมาพร้อมกับลุกขึ้นไปสวมกอดสตีฟด้วยความขอบคุณจากใจโดยที่ทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พร้อมเสียงปรบมือและโห่ร้องของคนทั้งห้องที่อยู่ในเหตุการณ์
สตีฟบอกว่าเขาตั้งใจที่จะซื้อรถคันนี้อยู่แล้วไม่ว่าจะต้องประมูลด้วยราคาที่สูงแค่ไหน เพราะความตั้งใจแรกเริ่มคือ เขาต้องการบริจาครถให้กับมูลนิธิเพื่อเด็กและสตรี แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวของแทนเนอร์ที่เปิดระดมทุนซื้อรถต่างหน้าของคุณพ่อสตีฟจึงตัดสินใจที่จะประมูลรถให้สตีฟและรู้สึกสบายใจที่เงินจากการประมูลก็สามารถช่วยเหลือครอบครัวอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
หลังการประมูลเสร็จสิ้นแทนเนอร์ให้สัมภาษณ์ว่าเขาวางแผนที่จะเก็บรักษารถคันนี้และจะส่งมอบให้ลูกๆ เขาต่อไปในอนาคต เพื่อที่ชื่อของคุณพ่อแซมจะเป็นที่จดจำในครอบครัวบราวลีตลอดไป
ส่วนสตีฟก็ถูกสื่อต่างๆ ให้ความสนใจถึงการตัดสินใจช่วยแทนเนอร์ในครั้งนี้เป็นอย่างมาก แต่การให้สัมภาษณ์ของสตีฟนั้นกลับเป็นการตอบที่เรียบง่าย นั่นก็เพราะเค้าไม่ได้คาดหวังอะไรเลยว่าจะต้องได้รับสิ่งตอบแทนเป็นชื่อเสียงกลับมา เค้าแค่ช่วยเพราะเค้าอยากช่วย มันก็คือแค่นั้นจริงๆ
ส่วนตัวผมเองมองว่ามันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินสามารถซื้อความสุขได้และสำหรับบางคนนั้นเงินก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอย่างมาก นี่เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่สำหรับเรื่องนี้แล้ว เงินจำนวนมากนั้นก็เทียบไม่ได้กับความรู้สึกยินดีและรอยยิ้มของคนหนึ่งคนที่ออกมาจากใจจริงของเขา ไม่ว่ารถจะถูกประมูลไปด้วยราคาเท่าไหร่ก็ตาม
ผมจึงอยากทิ้งท้ายไว้ สำหรับเรื่องของแซม แทนเนอร์ และสตีฟว่า
“เงินอาจจะสามารถซื้อสิ่งที่ต้องการได้ แต่ความปรารถนาที่ดีงานนั้นจะงามจะมอบของขวัญที่ประเมินค่าไม่ได้”
และความสุขที่แท้จริงของชีวิตนั้น ล้วนมีความปรารถนาที่ดีงามเป็นพื้นฐานครับ