หากพูดถึงผักชนิดหนึ่งที่มีรสชาติไม่เหมือนใคร นุ่มนวล มัน ๆ จากเมือกในผัก หน้าตาดูไม่เหมือนผักทั่วไป และเป็นผักพื้นบ้านที่ผู้ใหญ่ชอบหามาให้ทาน ผักชนิดนั้นคงจะเป็น “กระเจี๊ยบเขียว” ที่นิยมรับประทานกันเหมือนเป็นน้ำสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ดีต่อร่างกายในหลากหลายด้าน ในกระเจี๊ยบเขียว สรรพคุณของมันมีอะไรบ้าง มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร แล้วข้อควรระวังในการรับประทานกระเจี๊ยวเขียวมีอะไรบ้าง
กระเจี๊ยบเขียว คืออะไร?
กระเจี๊ยบเขียว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abelmoschus esculentus นอกจากนี้ยังมีชื่ออื่น เช่น Okra, Gumbo หรือ Lady’s finger กระเจี๊ยบเขียวจัดอยู่ในวงศ์ชบา มักจะเติบโตได้ดีในสภาพอากาศแบบร้อนชื้น มีต้นกำเนิดมาจากทวีปแอฟริกา ปัจจุบัน กระเจี๊ยบเขียวมีการเพาะปลูกในหลายส่วนของโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน
โดยทั่วไป กระเจี๊ยบเขียวมักทำในหลากหลายเมนู อย่างกระเจี๊ยบเขียวคลุกงาที่เป็นเมนูรักสุขภาพยอดนิยมในประเทศญี่ปุ่น หรือเมนูกระเจี๊ยบเขียวผัดไข่ หมูพันกระเจี๊ยบเขียวซอสเทริยากิและอีกหลากหลายเมนู กระเจี๊ยบเขียวอาจมีรสชาตินุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์ เลยสามารถนำไปทำเป็นอาหารได้หลายสไตล์ หลากเมนู
โภชนาการในกระเจี๊ยบเขียว สรรพคุณก็มีหลายอย่างด้วยกัน จะมีไฟเบอร์ วิตามิน C วิตามิน K วิตามิน A แร่ธาตุ : แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม สารต้านอนุมูลอิสระ :ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) โพลีฟีนอล (Polyphenols)
กระเจี๊ยบเขียว สรรพคุณ 8 อย่างที่ดีต่อร่างกาย
จากสารอาหารหลากหลายชนิดที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น ทำให้กระเจี๊ยบเขียวมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ดีต่อสุขภาพหัวใจ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ดีต่อระบบย่อยอาหาร เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นอาหารควบคุมน้ำหนัก ดีต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และเป็นอาหารบำรุงสายตา
1 . ดีต่อสุขภาพหัวใจ
เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวมีไฟเบอร์จำนวนมาก ซึ่งไฟเบอร์นี่เองจะมีส่วนช่วยในการลดคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงจนเกินไป ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสูง นอกจากนี้ กระเจี๊ยบเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างโพลีฟีนอล ที่มีส่วนช่วยในการลดการอักเสบ ลดความดันโลหิตและเป็นสมุนไพรล้างไขมันในเส้นเลือด ทำให้กระเจี๊ยบเขียวเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ
2 . ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำคัญมาก และจะยิ่งสำคัญมากขึ้นหากเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากไฟเบอร์และสารประกอบที่มีอยู่ในกระเจี๊ยบเขียวอาจมีส่วนช่วยในการชะลอการดูดซับน้ำตาลในกระแสเลือด เลยเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่มีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงต่อภาวะร่างกายต้านอินซูลินสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 ที่มักเกิดในผู้สูงอายุ การทานกระเจี๊ยบเขียวก็มีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุได้เช่นกัน
3 . เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
และยังดีต่อผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนด้วยเช่นกัน เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวมีแคลเซียมและวิตามิน K ซึ่งสำคัญอย่างมากต่อกระดูก ป้องกันภาวะกระดูกไม่แข็งแรงหรือกระดูกพรุน ทำให้กระดูกแข็งแรง
4 . ดีต่อระบบย่อยอาหาร
เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวมีมิวซิเลจ (Mucilage) หรือสารเมือกจากกระเจี๊ยบเขียว เมื่อทานเข้าไปก็อาจรู้สึกได้ถึงเมือก แต่เมือกที่ว่านี้สามารถช่วยผ่อนคลายระบบย่อยอาหารได้ และสามารถช่วยเป็นสารหล่อลื่นลำไส้ ทำให้สุขภาพทางเดินอาหารดีขึ้น รวมถึงไฟเบอร์ที่มีอยู่ในกระเจี๊ยบก็มีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพท้องไส้ ป้องกันท้องผูก นอกจากนั้นก็ลดโอกาสการเกิดโรคร้ายทางกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกัน
5 . เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ในกระเจี๊ยบเขียวจะมีวิตามิน C ที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญของภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์และโพลีฟีนอล ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันการถูกทำลายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ มีวิตามิน A ที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันผิวหนัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนด่านแรกของการป้องกันเชื้อโรคภายนอก และกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวด้วยเช่นกัน
6 . เป็นอาหารควบคุมน้ำหนัก
กระเจี๊ยบเขียว สรรพคุณเด่นอย่างหนึ่งคือมีแคลอรี่ต่ำและมีไฟเบอร์สูง ทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มง่ายกว่าปกติ ลดโอกาสการทานอาหารที่มากเกินไป การควบคุมน้ำหนัก จะช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน รวมถึงโรคอ้วนได้ด้วยเช่นกัน
7 . ดีต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์
โฟเลต (Folate) หรือวิตามิน B9 เป็นสารอาหารอย่างหนึ่งที่สำคัญอย่างมากของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หากระดับโฟเลตในร่างกายต่ำ อาจเสี่ยงต่อภาวะต่าง ๆ สำหรับเด็ก เช่น ระบบสมองและกระการพัฒนาของกระดูกสันหลัง ความบกพร่องของท่อประสาท ในทางการแพทย์ แนะนำว่าให้ผู้หญิงบริโภคโฟเลตปริมาณ 400 ไมโครกรัมทุกวัน ซึ่งในกระเจี๊ยบเขียวก็มีปริมาณของโฟเลตอยู่ในระดับที่ดี
8 . ช่วยบำรุงสายตา
เนื่องจากในกระเจี๊ยบเขียวจะมีวิตามิน A ที่จำเป็นต่อดวงตาและเป็นอาหารบำรุงสายตาชนิดหนึ่ง รวมถึงวิตามิน C ฟลาโวนอยด์และโพลีฟีนอลที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระทำลายดวงตา รวมถึงมีลูเทอิน ซีแซนทีน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องดวงตาจากแสงสีฟ้าและจากรังสี UV นอกจากนี้ก็มีส่วนช่วยป้องกันโรคประสาทจอตาเสื่อมด้วยเช่นกัน
กระเจี๊ยบเขียว สรรพคุณมีหลายอย่าง แต่ก็มีข้อควรระวังด้วยนะ
- ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ เช่น โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์ เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวมีโซลานีน (Solanine) ที่อาจกระตุ้นให้อาการปวดข้ออักเสบกำเริบได้
- กระเจี๊ยบเขียวมีออกซาเลต (Oxalate) สารประกอบอย่างหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดนิ่วในไต หากมีประวัติหรือมีความเสี่ยงการเกิดนิ่วในไต ควรเลี่ยงการรับประทานกระเจี๊ยบเขียวหรือควรควบคุม
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวอาจเข้าไปลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลแปรปรวนได้
- การแข็งตัวของเลือด เนื่องจากวิตามิน K ในกระเจี๊ยบเขียวมีส่วนทำให้เลือดแข็งตัว ผู้ที่ใช้ยาต้านแข็งตัวของเลือด ควรเลี่ยงการทานกระเจี๊ยบเขียว
สรุป การทานกระเจี๊ยบเขียวมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่างมาก เพราะกระเจี๊ยบเขียว สรรพคุณมีมากมาย ซึ่งเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่มีส่วนช่วยดูแลสุขภาพโดยรวมได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามตลาดหรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป และสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ด้วยเช่นกัน แต่การรับประทานกระเจี๊ยบเขียวก็มีส่วนที่ต้องระวังบ้าง อย่างผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเก๊าท์ ผู้ที่มีความเสี่ยงเกิดนิ่วในไตหรือโรคไต ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรควบคุมปริมาณอย่างเคร่งครัด
อ่านบทความเพิ่มเติม :
สรรพคุณใบบัวบก 6 อย่าง ดีต่อสุขภาพ กินใบบัวบกทุกวันได้ไหม
ประโยชน์ของตำลึง หาได้ง่ายแต่สรรพคุณไม่ธรรมดา พร้อมเมนูแนะนำ
สาหร่ายวากาเมะ ประโยชน์มากมายสำหรับคนรักสุขภาพ