จริงอยู่ที่การดื่มน้ำจะช่วยดับกระหาย, ทำให้ร่างกายสดชื่น และกระตุ้นระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่หากดื่มน้ำมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว หรืออาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ด้วยเช่นกัน วันนี้เราจะมาพูดถึงข้อเสียจากการดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินไปและวิธีคำนวณปริมาณน้ำที่คุณควรได้รับในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอและไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ตามมา
ข้อดีของการดื่มน้ำ
- ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและกำจัดกรดเกินในกระเพาะอาหาร
- ช่วยขจัดน้ำหนักส่วนเกิน เนื่องจากเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารได้มากขึ้น
- ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายผ่านทางเหงื่อและปัสสาวะ ช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัยอันเกิดจากสารพิษในร่างกาย
- ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต น้ำช่วยให้เลือดนำส่งออกซิเจนและสารอาหาร กระตุ้นกล้ามเนื้อและเส้นประสาทให้ทำงานได้ดีขึ้น
- บรรเทาความเมื่อยล้า น้ำจะช่วยกระตุ้นให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- บรรเทาอาการเจ็บคอ น้ำช่วยละลายเสมหะข้นเหนียวและขจัดออกจากทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
- บรรเทาอาการท้องผูก น้ำช่วยควบคุมการเคลื่อนตัวของลำไส้
- บรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน น้ำช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกที่หดตัว บรรเทาอาการมดลูกกระตุก
- ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น เพียงแค่จิบน้ำเล็กน้อยก่อนนอนจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย
- ช่วยคงความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ผิวเปล่งปลั่ง มีสุขภาพดี ชะลอริ้วรอยก่อนวัย
ข้อเสียจากการดื่มน้ำมากเกินไป
1. ไตทำงานหนักเกินไป
เมื่อน้ำเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป ทำให้ไตทำงานหนักขึ้นเพื่อกรองและขับน้ำออกจากเลือด ส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้เป็นเวลานาน อาจพัฒนาเป็นโรคไตเรื้อรัง รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มด้วย
2. หัวใจทำงานหนักเกินไป
เมื่อร่างกายได้รับน้ำมาก ส่งผลให้ลำไส้เล็กจะออสโมซิส (Osmosis) น้ำไปยังกระแสเลือด เมื่อน้ำเข้าสู่ร่างกายมากก็ยิ่งทำให้ปริมาตรเลือดเพิ่มสูงขึ้น และหัวใจทำงานหนักขึ้น จนอาจเกิดอาการชักในที่สุด
3. โพแทสเซียมต่ำกว่าปกติ
เมื่อโพแทสเซียมต่ำลง ความดันโลหิตก็ต่ำลงตาม ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน และเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตอีกด้วย
4. เป็นตะคริว เหนื่อยง่าย
น้ำที่มากเกินไปอาจทำให้แร่ธาตุในร่างกายเจือจางลง ส่งผลให้กระบวนการอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายลดลง ตามมาด้วยอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งและเป็นตะคริว
5. โซเดียมในเลือดต่ำและเซลล์บวม
ปริมาณโซเดียมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันจะอยู่ที่ 135-145 mEq/L. หากคุณดื่มน้ำมากเกินอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลและอยู่ในภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุลและเกิดภาวะเซลล์บวม ทำให้รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย หรือเป็นตะคริวที่กล้ามเนื้อ แต่หากมีอาการรุนแรงอาจรู้สึกปวดศีรษะและไม่รู้สึกตัว ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วย
6. ภาวะน้ำเป็นพิษ (Water intoxication/Water poisoning)
เมื่อมีน้ำในร่างกายมากเกินไป ย่อมส่งผลให้น้ำในเลือดที่อยู่นอกเซลล์แทรกซึมเข้าไปในเซลล์ เซลล์จึงเกิดอาการบวมน้ำ หากรุนแรงมากอาจเกิดภาวะสมองบวม ส่งผลให้รู้สึกปวดศีรษะรุนแรงไปจนถึงขั้นชัก โคม่าจนสูญเสียการรับรู้สิ่งรอบข้างเป็นเวลานาน และอาจเสียชีวิตในเวลาต่อมาได้
กลุ่มเสี่ยงต่อการดื่มน้ำมากเกินไป
- นักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก
- ผู้ที่ต้องใช้แรงในการทำกิจกรรมมาก
- ผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก
- ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ร้อนอบอ้าว
- ผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ หรือเคยใช้ยาเสพติด
- ผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคไต
- ทารกที่ไม่ได้รับนมแม่และทารกที่อยู่ในครรภ์ของแม่ที่ใช้ยาเสพติด
สังเกตอาการดื่มน้ำมากเกินไปด้วยตัวเองจากลักษณะดังต่อไปนี้
- ขาดน้ำไม่ได้ ต้องดื่มน้ำตลอดเวลา แม้จะไม่รู้สึกกระหายก็ตาม
- ดื่มน้ำจนต้องลุกไปปัสสาวะอยู่บ่อยครั้ง
- ปัสสาวะเป็นสีใส
- ปัสสาวะบ่อยช่วงกลางคืน
- รู้สึกปวดหัวตลอดเวลา เกิดจากเซลล์บวมจนไปกดกระโหลกศีรษะ
- รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียนบ่อยครั้ง เนื่องจากร่างกายกำจัดน้ำซึ่งเป็นของเหลวส่วนเกินออกไม่หมด
- ริมฝีปาก, ฝ่ามือและฝ่าเท้าบวมหรือเปลี่ยนสีไปจากเดิม
- รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าง่าย กล้ามเนื้ออ่อนแรง
วิธีคำนวณปริมาณน้ำตามความต้องการของร่างกาย
1. คำนวณจากช่วงอายุ
โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงวัย ได้แก่ วัยเด็ก, วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ดังนี้
1.1 วัยเด็ก
- อายุ 1 – 3 ปี ควรดื่มน้ำประมาณ 1,000 – 1,500 มิลลิลิตร
- อายุ 4 – 5 ปี ควรดื่มน้ำประมาณ 1,300 – 1,950 มิลลิลิตร
- อายุ 6 – 8 ปี ควรดื่มน้ำประมาณ 1,400 – 2,100 มิลลิลิตร
1.2 วัยรุ่น
สำหรับผู้ชาย
- อายุ 9 – 12 ปี ผู้ชายควรดื่มน้ำประมาณ 1,700 – 2,550 มิลลิลิตร
- อายุ 13 – 15 ปี ผู้ชายควรดื่มน้ำประมาณ 1,700 – 2,550 มิลลิลิตร
- อายุ 16 – 18 ปี ผู้ชายควรดื่มน้ำประมาณ 2,250 – 3,375 มิลลิลิตร
สำหรับผู้หญิง
- อายุ 9 – 12 ปี ควรดื่มน้ำประมาณ 1,600 – 2,400 มิลลิลิตร
- อายุ 13 – 15 ปี ควรดื่มน้ำประมาณ 1,600 – 2,400 มิลลิลิตร
- อายุ 16 – 18 ปี ควรดื่มน้ำประมาณ 1,850 – 2,775 มิลลิลิตร
1.3 วัยผู้ใหญ่
สำหรับผู้ชาย
- อายุ 19 – 30 ปี ควรดื่มน้ำประมาณ 2,150 – 3,225 มิลลิลิตร
- อายุ 31 – 70 ปี ควรดื่มน้ำประมาณ 2,100 – 3,150 มิลลิลิตร
- อายุ 70 ปีขึ้นไป ควรดื่มน้ำประมาณ 1,750 – 2,625 มิลลิลิตร
สำหรับผู้หญิง
- อายุ 19 – 30 ปี ควรดื่มน้ำประมาณ 1,750 – 2,625 มิลลิลิตร
- อายุ 31 – 70 ปี ควรดื่มน้ำประมาณ 1,750 – 2,625 มิลลิลิตร
- อายุ 70 ปีขึ้นไป ควรดื่มน้ำประมาณ 1,550 – 2,325 มิลลิลิตร
2. คำนวณจากสูตร
หากต้องการปริมาณน้ำที่ตรงต่อความต้องการของร่างกายคุณ แนะนำให้คำนวณจากสูตรนี้ได้เลยค่ะ “น้ำหนัก (กิโลกรัม) คูณด้วย 2.2 คูณด้วย 30 หารด้วย 2” ยกตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัว 55 กิโลกรัม × 2.2 × 30 / 2 เท่ากับ 1,815 มิลลิลิตร
ดื่มน้ำชนิดไหนถึงจะดีต่อร่างกาย
1. น้ำสะอาด
การดื่มน้ำสะอาดที่ดีจะต้องปราศจากสิ่งปนเปื้อน ทั้งเชื้อโรค, สารพิษ และโลหะหนักต่าง ๆ ทั้งนี้อาจดื่มน้ำสะอาดที่ผลิตจากเครื่องกรองน้ำหรือน้ำแร่ธรรมชาติก็ได้เช่นกัน โดยน้ำสะอาดจะต้องมีสารอาหารทั้งแคลเซียม, แมกนีเซียม, โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงร่างกายและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อีกทั้งกระตุ้นการทำงานของร่างกายได้ดีเพื่อให้ร่างกายขับของเสียออกได้ง่ายขึ้น
2. น้ำผักผลไม้
เกิดจากการนำผักผลไม้มาปั่นผสมกัน หรืออาจปั่นผสมกับสมุนไพรด้วยก็ได้เช่นกัน แต่หากต้องการสารอาหารอย่างเต็มที่ อาจปั่นโดยใช้วิธีคั้นแยกน้ำและกากออกจากกัน เหลือเพียงน้ำที่มีแต่สารอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งมีความเข้มข้นมากกว่าการทานสดด้วยการปั่นแบบทั่วไป ข้อดีของน้ำผักผลไม้จะช่วยให้คุณได้รับสารอาหารจากผักและผลไม้ได้ดี, กระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ, กระตุ้นให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้นลดระดับคอเลสเตอรอล, ลดความดันและไขมันในเลือด อีกทั้งบำรุงหัวใจและหลอดเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบทานผักหรือผลไม้ทั้งชิ้น
3. นมไขมันต่ำ
หรือ นมพร่องมันเนย เป็นนมที่ผ่านการแยกมันเนยออกบางส่วน ทำให้มีไขมันในนมไม่เกิน 15% นมไขมันต่ำจึงให้พลังงานและไขมันลดลงหากเทียบกับนมทั่วไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจและความดัน และผู้สูงอายุ นมพร่องมันเนยมีหลายประเภท ทั้งแบบพาสเจอไรซ์ (Pasteurization) , ยูเอชที (UHT) และสเตอริไลซ์ (Sterilization) นมไขมันต่ำช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน, บำรุงระบบประสาทและสมอง, ซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอจากการใช้งาน แถมยังกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและขัดขวางไขมันสะสมในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
4. ช็อกโกแลตร้อน
เกิดจากการนำช็อกโกแลตหรือผงโกโก้ไปละลายในน้ำร้อน แล้วนำไปผสมกับนมหรือครีมเล็กน้อย ช็อกโกแลตร้อนอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี, ควบคุมคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด, ช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ร่างกายกำจัดไขมันและของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดี ช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการหลั่งสารโดปามีน (Dopamine) และเซโรโทนิน (Serotonin) ช่วยให้สมองรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดี
บทความที่น่าสนใจ
น้ำด่างอัลคาไลน์ ดื่มแล้วดีจริงหรือไม่? ใครควรดื่มและไม่ควรดื่ม
อย่าซดน้ำซุปชาบู ซุปก๋วยเตี๋ยวมากเกินไป ถ้าไม่อยากไตพัง