สำหรับผู้สูงอายุหลายหลายอาจจะกังวลเกี่ยวกับ โรคเบาหวาน และอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “อย่าคิดว่าแน่ เลยไม่แคร์เบาหวาน”ถือเป็นวลียอดฮิตที่ได้ยินบ่อยกันทั้งประเทศ โดย ท่านศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง วรรณี นิธิยานันท์ (แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ โรคต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึ่ม และนายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย) วันก่อนผู้เขียนได้อ่านบทความหนึ่ง ซึ่งท่านได้เขียนอย่างน่าสนใจว่า “เบาหวาน ทำให้ทั่วร่างกายเปลี่ยนแปลงไปหมดอย่างไม่รู้ตัว เพราะว่ามันเดินทางไปตามเส้นเลือด ทุกอณูในตัวเรามีน้ำตาลไปถึง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องมีน้ำในทุกส่วน ถ้าน้ำตาลเหล่านี้มากเกินไป น้ำตาลที่ย่อยไม่หมด ก็แปรสภาพไป สารที่แปรสภาพนี้ ก็ทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ ทำงานเกิดโรคแทรกซ้อนตามมา”
โรคเบาหวาน กับ ผู้สูงอายุ
อีกหนึ่งบทความของท่านศาสตราจารย์นายแพทย์ เทพ หิมะทองคำ – ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ท่านเคยกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า
“เพราะภาวะเบาหวาน เป็นโรคที่ต้องการการดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูแลภาวะเบาหวานคือ การช่วยให้คนไข้เบาหวาน เข้าใจเรื่องโรค
การกระตุ้น และให้กำลังใจ เพื่อให้คนไข้สามารถดูแลตัวเองได้ แพทย์เบาหวาน ไม่สามารถ
ทำงานชิ้นนี้ได้เองคนเดียว ต้องมีทีมงานช่วยเหลือ และทีมงานคนสำคัญที่สุด
คือ ตัวคนไข้เอง”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาวะเบาหวานถือเป็นภัยเงียบที่เกิดขึ้นได้ทุกเพศ และทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กอ้วน ผู้ใหญ่อ้วน จะมีโอกาสเป็นเบาหวานได้สูง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นเบาหวาน จะพบบ่อยมากที่สุด ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ.วรรณี นิธิยานันท์ นายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า ตัวเลขปี 2562 ประชากรชาวไทยวัยผู้ใหญ่ป่วยเป็นเบาหวานมากถึง 4.8 ล้านคน และมักเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมาจากวิถีชีวิตแบบเนือยนิ่ง โรคอ้วน และอายุที่มากขึ้น อัตราการเสียชีวิตชาวไทยที่ป่วยเป็นเบาหวานมีมากถึง 200 รายต่อวัน คาดการณ์จะสูงมากขึ้นถึง 5.3 ล้านคนภายในปี 2583 ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาได้ไม่ดีพอ อาจทำให้เกิด ภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคไต โรคความดัน โรคตา – ต้อกระจก, ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท เช่น ชาตามปลายมือ ปลายเท้า ฯลฯ
มีเกณฑ์อย่างไร ในการวินิจฉัยเบาหวาน
- ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด หลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 มก./ดล.
- ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด จากการตรวจเวลาใดก็ได้ มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 200 มก./ดล. โดยร่วมกับมีอาการของเบาหวาน เช่น มีการปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำมาก และผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน ควรได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป
สาเหตุของเบาหวาน
จริง ๆ แล้ว สาเหตุของเบาหวานที่แท้จริง ไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยดังต่อไปนี้ :-
- กรรมพันธุ์
ผู้ที่มีประวัติครอบครัวที่เป็นเบาหวาน จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้มากกว่าปกติ
- อายุมากขึ้น
ตับอ่อนมีการสร้างอินซูลินน้อยลง
- ความอ้วน
ขาดการออกกำลังกาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเครียด ทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายตอบสนองอินซูลินได้ไม่ดีพอ
- โรคของตับอ่อน
เช่นถ้าเป็นคนชอบดื่ม ตับอ่อนมักอักเสบจาการดื่มเหล้า แอลกอฮอล์ , มะเร็งตับอ่อน, การผ่าตัดตับอ่อน
- ยาบางชนิด
ในกรณีผู้ป่วยบางท่าน ใช้ยาไปนาน ๆ จะมีโอกาสเป็นเบาหวาน เช่น จำเป็นต้องใช้ยา/ฉีดยาที่มีสเตียรอยด์
ภาวะเบาหวาน มีกี่ชนิด ?
แบ่งออกง่าย ๆ อยู่ 4 ชนิด ดังนี้ :-
- ชนิดที่ 1 มักเกิดในเด็กจนถึงวัยรุ่น มีรูปร่างผอม สาเหตุเกิดจากภาวะคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบ และมีการทำลายเซลล์ของตับอ่อนจนหมด
- ชนิดที่ 2 โดยส่วนใหญ่พบในเพศหญิง ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหว าน มีสาเหตุมาจากร่างกายสร้างอินซูลินไม่พอ
- ชนิดอื่น ๆ ที่พบได้ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม
- ขณะตั้งครรภ์ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในขณะตั้งครรภ์ไปต้านฤทธิ์ของอินซูลิน ภายหลังคลอดแล้ว ส่วนใหญ่เบาหวานจะหายไป
แล้วระดับน้ำตาลควรจะเป็นเท่าไหร่ ในผู้สูงอายุ ?
อย่างที่แจงไว้ข้างต้นว่า เบาหวาน เป็นโรคที่พบบ่อยและพบมากขึ้นในผู้สูงอายุ การดูแลและการตั้งเป้าหมายในการรักษาเบาหวานในผู้สูงอายุ จึงเน้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุบางกลุ่ม ก็อาจไม่เคร่งครัดในการควบคุมน้ำตาล หรือบางกรณี เคร่งครัดเกินไปก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด ซึ่งก็อันตรายเช่นกัน ซึ่งอาจผลเสียมากกว่าผลดี โดยทั่วไป เป้าหมายการรักษาเบาหวานในผู้ใหญ่ที่มีมากกว่า 65 ปีขึ้นไป และร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ หมายถึง ช่วยตัวเองได้ แนะนำให้ควบคุมน้ำตาลสะสมน้อยกว่าหรือใกล้เคียง HbA1c (ระดับน้ำตาลสะสมหรือค่าฮีโมโกลบินเอวันซี) อยู่ที่ระดับ 7.0%
อาการของเบาหวาน ในผู้สูงอายุ
- คนปกติมักจะไม่ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะในเวลากลางดึก หรือปัสสาวะอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง เมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่า180มก.% โดยเฉพาะในเวลากลางคืนน้ำตาลจะถูกขับออกทางปัสสาวะ ทำให้น้ำถูกขับออกมากขึ้น จึงมีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ และอาจจะพบว่าปัสสาวะมีมดตอม
- จะหิวน้ำบ่อยเนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ
- อ่อนเพลีย น้ำหนักลดเกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาล จึงย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา
- จะกินเก่งหิวเก่ง แต่น้ำหนักจะลดลงเนื่องจากร่างกายนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อ
- อาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดได้แก่ การติดเชื้อ แผลหายช้า คัน
- คันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิง สาเหตุของอาการคันเนื่องจากผิวแห้งไป หรือมีการอักเสบของผิวหนัง
- เห็นภาพไม่ชัด ตาพร่ามัวต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงสายตา เช่นสายตาสั้น ต้อกระจก (เพราะน้ำตาลในเลือดสูง)
- ชาไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขา หย่อนสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากน้ำตาลสูงนาน ๆ ทำให้เส้นประสาทเสื่อม เกิดแผลที่เท้าได้ง่าย เพราะไม่รู้สึก
- บาดแผลหายช้า หากมีแผลที่บริเวณผิวหนัง เช่น มีดบาด หรือ รอยฟกช้ำ บาดแผลจะหายช้ามาก เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง จนไปขัดขวางการทำงานของหลอดเลือด บาดแผลหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือไม่ตกสะเก็ดสักที
- อ่อนเพลีย มีอารมณ์แปรปรวน โมโห หงุดหงิดง่าย เป็นสิ่งที่พบได้ง่ายในผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลต่อการทำงานทุกระบบ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับทางอารมณ์ด้วย
วิธีการป้องกันเบาหวาน
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
หากไม่อยากให้เบาหวานถามหาหล่ะก็ ควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้ได้อย่างน้อย ครั้งละ 30 นาที อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง เหตุผลเพื่อให้แป้งและน้ำตาลที่สะสมในกล้ามเนื้อ จะได้ถูกดึงไปใช้เป็นพลังงาน ซึ่งก็จะทำให้ระดับแป้งและน้ำตาลลดลงได้
-
รับแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า
แสงแดดในยามเช้า อุดมไปด้วยวิตามิน ดี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งวิตามิน ดี ไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องบำรุงผิวพรรณ ให้ดูเปล่งปลั่งแล้ว ยังช่วยป้องกันเบาหวานได้อีกด้วย เพราะถ้าเราขาดวิตามิน ดี จะทำให้มีโอกาสเป็นเบาหวานได้ ฉะนั้น ถ้าเราสามารถเสริมวิตามิน ดี ได้อย่างเพียงพอ ก็เป็นตัวช่วยให้เราห่าง เบาหวาน ได้เช่นกัน
-
เน้นทานสปอร์เห็ดหลินจือ MG 2
สปอร์เห็ดหลินจือ ถือเป็นสมุนไพรระดับจักรพรรดิ ที่ทรงคุณค่า หายาก และมีสรรพคุณทางยามากมาย อีกทั้งมีสารออกฤทธิ์เข้มข้นมากมายเช่นกัน (เพราะไม่ใช่นำดอกเห็ดหลินจือมา แต่นำ “สปอร์” บนดอกเห็ดหลินจือ ซึ่งมีความเข้มข้นมากกว่าดอกเห็ดหลินจือ) และหนึ่งในสารออกฤทธิ์ที่ชื่อว่า สารโพลีแซกคาไรด์ ที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม ลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างได้ผล ช่วยลดการอักเสบ และยังช่วยลดภาวะเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอีกด้วย
-
เน้นทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว
ข้าวกล้อง อุดมไปด้วยวิตามิน และสารอาหารต่าง ๆ มากมาย อีกทั้งยังช่วยให้หุ่นดี ไม่ทำใหอ้วนอีกด้วน ข้าวกล้อง ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานได้อีกด้วย
-
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำลายตับ ทำให้ตับเสื่อมสภาพลง และยังเสี่ยงต่อภาวะตับแข็งอีกด้วย ซึ่งแน่นอน เมื่อตับอ่อนเกิดความผิดปกติ ก็จะทำให้ผลิตอินซูลินได้น้อยลง ส่งผลให้เกิดการสะสมน้ำตาลในร่างกาย และในเส้นเลือดเป็นจำนวนมาก จนเป็นเบาหวานในที่สุด
จะเห็นว่า การดูแลผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวาน ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยกำลังใจของผู้สูงอายุ และความร่วมมือจากญาติ พี่น้อง หรือ ผู้ดูแล แนะให้ผู้สูงอายุควบคุมอาหาร ออกกำลังกายตามกำลังอย่าหักโหม ปัจจุบัน มีสมุนไพรธรรมชาติที่ช่วยลดน้ำตาลได้เลือดได้อย่างเห็นผล (ตามที่กล่าวข้างต้น) ปลอดภัยถ้าต้องทานเป็นประจำ เพื่อให้ผู้สูงอายุอยู่กับเบาหวานได้อย่างมีความสุข พบกันใหม่ฉบับหน้า สวัสดีคะ
………….
(เครดิต : ท่านศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง วรรณี นิธิยานันท์ (แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ โรคต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึ่ม และนายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย), ศ.นพ.เทพ หิมะทองคำ – Prof.Thep Himathongkam. MD, FACP, FACE Founder of Theptarin Hospital, www.site.google.com/site/diabetesinolder/, www.dmthai.org สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, www.nhs.uk/conditions/diabetes/, www.i-kinn.com)
บทความที่น่าสนใจ
7 อาหารลดน้ำตาลในเลือด ควบคุมอาหาร ป้องกันเบาหวานได้ชะงัด
ถั่วนัตโตะ ลดไขมันในเลือด ได้จริงหรือ ?
เปิด 7 เคล็ดลับ ทานของหวานแบบไม่อ้วน แบบไม่ต้องงด ไม่ต้องอด!
Anonymous
October 16, 2020ติดตาม ขอแชร์คับ
Siriphorn Ariya
October 16, 2020ยินดีค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ