ในปัจจุบันเทรนด์การทานผัก-ผลไม้เริ่มมีความนิยมมากขึ้น เนื่องจากคนรุ่นใหม่เริ่มตระหนักถึงการรักษาสุขภาพ และเริ่มหันมาดูแลรูปร่างมากขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าผักจะมีประโยชน์เต็มไปด้วยกากใยอาหารที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ลดความเสี่ยงต่อโรคไขมันสะสม ลดไขมันในเลือด แก้ปัญหาท้องผูก แต่ว่าสิ่งที่หลายคนมักจะมองข้ามคือ สารพิษสะสมที่อยู่ในผักที่อาจจะมีโทษมากกว่าอย่างคาดไม่ถึง วันนี้เราจึงมีความรู้เกี่ยวกับการทานผักตามฤดูกาลมาแนะนำให้ผู้ที่รักสุขภาพทุกคนมาลองอ่านดูค่ะ
จริงหรือไม่ “ผัก” คืออาหารที่เต็มไปด้วยสารพิษ?
หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่า “ผักมีประโยชน์ต่อร่างกาย” สามารถทานเยอะ ๆ ได้ช่วยให้สุขภาพดี … ผู้เขียนขอยืนยันว่านั่นเป็นความจริงค่ะ แต่ว่าในทางกลับกันก็มีข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่า ผักที่เราทานกันในปัจจุบันนั้นต่างปนเปื้อนกับสารพิษที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคอันตรายมากมาย ซึ่งสารพิษสะสมนั้นไม่ได้เกิดจากผัก แต่ว่าเกิดจากการเพาะปลูกที่เกษตรกรมักจะใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง สารเคมีเร่งดอก เร่งผล เร่งโต แว็กซ์เคลือบเพื่อให้ได้ผักที่ลำต้นอวบสวยงามน่าทานมาให้เราทาน โดยผลจากการสุ่มตรวจตามตลาดและซูเปอร์มาเก็ตชั้นนำของไทย พบว่ามีผักมากกว่า 50% เลยที่เต็มไปด้วยสารปนเปื้อนตกค้าง โดยผักที่พบสารเคมีตกค้างมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่
- ผักคะน้า
- พริกสด
- ผักกวางตุ้ง
- ผักบุ้ง
- กะหล่ำปลี
- แตงกวา
- ดอกกะหล่ำ
- ต้นหอม
- ผักชี
- หัวไชเท้า
ซึ่งสารเคมีตกค้างจากผักเหล่านี้ หากทานเข้าไปมาก ๆ นั้นจะทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงได้ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว หรือในบางรายอาจจะออกฤทธิ์เฉียบพลัน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เจ็บปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ตาพร่า หายใจไม่สะดวก กล้ามเนื้อกระตุก ไม่มีแรง ชัก หมดสติ เพิ่มความเสี่ยงของการสะสมจนก่อให้เกิดมะเร็ง เบาหวาน อัมพฤกษ์อัมพาต โรคผิวหนังต่าง ๆ เป็นหมัน ในหญิงตั้งครรภ์อาจจะทำให้ทารกพิการได้
ทำไมการกินผักตามฤดูกาลถึงช่วยให้สุขภาพดีกว่า
สาเหตุที่การทานผักในฤดูกาลถึงเป็นทางเลือกสุขภาพที่ดีกว่า เนื่องจากผักตามฤดูกาลนั้นจะขึ้นและเติบโตในฤดูกาลของผักชนิดนั้น ๆ เอง ส่งผลให้ผักมีรสชาติที่อร่อยมากกว่าผักที่ถูกปลูกและบังคับให้โตด้วยสารเคมีนอกฤดูกาล คุณค่าทางอาหารครบถ้วนกว่า ลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนสารเคมีจากสารกำจัดศัตรูพืชหรือสารเคมีเร่งให้โต และมีราคาที่ถูกกว่า
ผักตามฤดูกาลที่ถูกต้องมีอะไรบ้าง?
การทานผักตามฤดูกาลสามารถแบ่งประเภทตามฤดูหรือเดือนได้ดังนี้
- มกราคม : มะเขือเทศ พริก หัวหอม กะเพรา ผักกาดขาว สะระแหน่ โหระพา แมงลัก ผักชีฝรั่ง ฟักข้าว ผักสลัด
- กุมภาพันธ์ : กะเพรา สะระแหน่ โหระพา แมงลัก ผักกาดขาว บรอกโคลี ผักกาดหอม หัวหอม พริก มะเขือเทศ ฟักข้าว
- มีนาคม : บรอกโคลี กะหล่ำปลี แคร์รอต ข้าวโพด ฟักทอง แตงกวา กะเพรา สะระแหน่ โหระพา แมงลัก ผักกาดหอม หัวหอม ถั่วลันเตา พริก มะเขือเทศ
- เมษายน : ถั่ว กะหล่ำปลี แคร์รอต ข้าวโพด แตงกวา ฟักทอง กะเพรา สะระแหน่ โหระพา แมงลัก ผักกาดหอม หัวหอม ถั่วลันเตา พริก มะเขือเทศ
- พฤษภาคม : ถั่ว กะหล่ำปลี แคร์รอต ฟักทอง ข้าวโพด แตงกวา กะเพรา สาระแน่ โหระพา แมงลัก พริก มะเขือเทศ
- มิถุนายน : ถั่ว กะหล่ำปลี แคร์รอต ข้าวโพด แตงกวา กะเพรา สะระแหน่ โหระพา แมงลัก ถั่วลันเตา ชะอม ผักบุ้งจีน
- กรกฎาคม : ถั่ว แคร์รอต ข้าวโพด แตงกวา คะน้า ชะอม ผักบุ้งจีน
- สิงหาคม : ถั่ว แตงกวา คะน้า ผัดกาดหอม ถั่วลันเตา หัวไชเท้า ผักโขม ชะอม ผักบุ้งจีน
- กันยายน :บรอกโคลี แตงกวา กระเทียม ผักกาดหอม หัวไชเท้า ผักโขม ชะอม ผักบุ้งจีน
- ตุลาคม : กระเทียม กะเพรา สะระแหน่ โหระพา แมงลัก ผักชีฝรั่ง ชะอม ผักบุ้งจีน ผักสลัด
- พฤศจิกายน : กะเพรา สะระแหน่ โหระพา แมงลัก ผักกาดหอม ผักกาดขาว หัวไชเท้า ผักโขม แคร์รอต ผักชีฝรั่ง กะหล่ำ ผักสลัด ฟักข้าว ผักสลัด
- ธันวาคม : กะเพรา สะระแหน่ โหระพา แมงลัก ผักชีฝรั่ง ผักกาดหอม ผักกาดขาว หัวไชเท้า บรอกโคลี แคร์รอต ฟักข้าว ผักสลัด
ผักต้มมีประโยชน์อย่างไร ต้มผักยังไงไม่ให้เสียวิตามินหลังโดนความร้อน
เตือนแล้วนะ! ผักห้ามกินดิบ ฝืนกินอาจเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต
วิธีล้างผักอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด
ถึงแม้ว่าจะทานผักตามฤดูกาลแล้ว หรือบางบ้านอาจจะเลือกทานผักแบบออร์แกนิกแทนเพื่อความปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ล้างผักแล้วนำไปปรุงทันทีได้ เพราะว่าอาจจะเสี่ยงต่อการมีสิ่งสกปรกค้างอยู่ เช่น ฝุ่นละออง ไข่พยาธิจากดินได้ ดังนั้นไม่ควรล้างน้ำเปล่า ๆ แต่ควรล้างผักให้สะอาดตามขั้นตอนดังนี้
1.เปิดน้ำทิ้งไว้ราดผ่านผักอย่างน้อย 2 นาที หากเป็นผักที่มีหัวมีใบควรเด็ดออกก่อนแล้วค่อยล้าง
2.ใช้มือถูผักเบา ๆ แช่น้ำอย่างน้อย 10 นาทีโดยในน้ำแช่สามารถผสมน้ำยาหรือวัสดุในครัวดังนี้
- น้ำยาล้างผัก 1-2 ปั๊มต่อน้ำ 4 ลิตร สามารถล้างสารเคมีในผักได้ประมาณ 25-70% (ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำยา)
- ด่างทับทิบ 20-30 เกร็ด ต่อน้ำ 4 ลิตร สามารถล้างสารเคมีในผักได้ประมาณ 30-45%
- เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร สามารถล้างสารเคมีในผักได้ประมาณ 27-38%
- น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร สามารถล้างสารเคมีในผักได้ประมาณ 29-38%
- เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ 1 กะละมัง สามารถล้างสารเคมีในผักได้ประมาณ 80-95%
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ผักไฮโดรโปนิกส์ VS ผักออแกนิค แบบไหนปลอดภัยกว่ากัน
กินผักเยอะเกินไป อันตรายไหม ส่งผลเสียต่อร่างกายหรือเปล่า
ผักอบกรอบมีประโยชน์จริงไหม กินเพื่อลดน้ำหนักได้จริงหรือเปล่า?