โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE (Systemic Lupus Erythematosus) ถือเป็นโรคที่พบบ่อยในประเทศไทย และมักมีอาการรุนแรงมากโดยเฉพาะหากมีอาการทางไตร่วมด้วย โรค SLE กลไกการเกิดโรคที่แน่นอนยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่จากการศึกษาพบว่าเกิดได้จากปัจจัยทั้งทางด้านพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ก็มีส่วนร่วมกันในการก่อโรค และยังไม่มีการรักษาโรค SLE ให้หายขาด อย่างไรก็ตาม สามารถรักษาเพื่อไม่ใด้ลุกลาม และทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิต ทำงานปกติในชีวิตประจำวันได้
โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE คืออะไร?
ผู้อ่านคงเคยทราบมาแล้วว่า โรค SLE เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง และเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติในร่างกายของผู้ป่วย ผลิตสารภูมิต้านทานที่ผิดปกติมากเกินไป โดยเข้าใจผิดว่าเซลล์ในร่างกายเป็นศัตรู จึงทำการโจมตี อวัยวะ เนื้อเยื่อ ไม่ว่าจะทางตรงทางอ้อม จึงนำไปสู่อาการอักเสบเรื้อรัง SLE ลุกลามไปที่อวัยวะและเนื้อเยื่อทั้งหมด โดยเฉพาะผิวหนัง ข้อต่อ และ ไต สำหรับกรณีที่ร้ายแรง สาเหตุอาจเกิดจากอาการไตล้มเหลว หากมีความเสียหายต่อระบบประสาทส่วนกลาง อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติทางจิต โรคลมชัก หรือโรคหลอดเลือดสมอง
สาเหตุของโรค SLE
วงการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อตัวเอง อาจะเป็นยีนทางกรรมพันธ์และปัจจัยที่ได้มาเป็นตัวกระตุ้นให้เป็นโรค กรรมพันธุ์อาจไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่ผู้ป่วยอาจแค่ได้มีความโน้มเอียงที่จะรับโรคลูปุส และเมื่อผู้ป่วยสัมผัสกับปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดเป็นโรค เช่น ไวรัสชนิดต่าง ๆ ทำให้เกิดระยะเริ่มต้นของโรค
กลไกการเกิดโรค
ปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน พบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชายในช่วงวัยเจริญพันธุ์ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยร่วมอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับการเกิดโรค เช่น กรรมพันธุ์ (อาจจะมีสารพันธุกรรมบางชนิดที่สัมพันธ์กับการเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง) ส่วนปัจจัยที่กระตุ้นให้โรคกำเริบมากขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อภายในร่างกาย แสงแดด เป็นต้น หากป่วยเป็นโรคนี้ ร่างกายจะมีการสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า Antinuclear Antibody ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ชัดเจน
อาการของโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง มีอะไรบ้าง ?
เราจะทราบได้อย่างไรว่า เราแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง ด้วยสภาวะของผู้ป่วยแต่ละรายที่เป็นโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเองแตกต่างกันออกไป และอวัยวะเนื้อเยื่อ ที่ได้รับผลกระทบมีความแตกต่างกัน อาการต่าง ๆ เป็นได้ทั้งเบาบาง หรือร้ายแรง และเป็นได้ทั้งเฉียบพลัน หรือชา บางอาการเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น แต่บางอาการอาจอยู่นาน อาการต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง โดยมีอาการทั่วไปดังนี้ :-
-
ปวดข้อ
ข้อนี้พบบ่อย ด้วยผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักจะมีอาการปวดข้อ และบวม ทำให้เกิดข้ออักเสบ อาการเหล่านี้ เป็นอาการในระยะเริ่มต้น และมีความสำคัญต่อการวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น ข้อต่อที่ได้รับผลกระทบรวมไปถึงนิ้วมือ ข้อมือ หัวไหล่ เข่า และข้อต่อสะโพก ฯลฯ ผู้ป่วยมักจะรู้สึกปวดรุนแรงที่ข้อต่อ มีอาการอ่อนไหว และบวม และอาจมีอาการฝืดตอนเช้า นั่นหมายความว่า ข้อต่อที่ได้รับผลกระทบ จะเกิดอาการฝืด เมื่อตื่นนอนตอนเช้า โดยทั่วไป ข้ออักเสบที่เกิดจากโรค SLE ไม่ค่อยนำไปสู่การผิดรูปของข้อต่อ
-
ผื่นคัน
- อาการผื่นคันที่สันจมูก และบนแก้มสองข้าง
- บริเวณหลังมือ บนหน้าอก และหลัง จะมีผื่นเป็นสีน้ำเงินม่วงเป็นวง ๆ สภาวะของผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ จะไม่รุนแรง และโอกาสที่อวัยวะส่วนอื่น จะได้รับผลกระทบมีน้อย
- ผื่นแดงที่ตกสะเก็ดที่ปรากฏบนผิวหนัง จะคล้ายกับโรคสะเก็ดเงิน รอยแผลอื่น ๆ
- มีผู้ป่วยไม่กี่รายที่จะมีตุ่มน้ำขนาดใหญ่ และตุ่มพองบนผิวหนัง
-
นอกจากมีอาการข้างต้น ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้ ร่วมด้วย
- อ่อนล้า
- ไข้ต่ำต่อเนื่องโดยไม่ทราบสาเหตุ
- น้ำหนักลด หรือ เพิ่ม
- แผลเปื่อยในช่องปาก
- ผมร่วง
- หายใจไม่ออก
- ตาแห้ง
- ปวดศีรษะรุนแรง
การตรวจวินิจฉัยโรค
การตรวจวินิจฉัยโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ที่ทำการรักษาเป็นสำคัญ ส่วนใหญ่แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติของผู้ป่วย การตรวจร่างกายพบรอยโรคร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ การตรวจเอกซเรย์หัวใจและปอด ฯลฯ
อาการแทรกซ้อนของโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง (SLE)
-
โรคหลอดเลือด
โรค SLE อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับเลือด เช่น โลหิตจาง อาการเลือดออก หรือ เกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่ม มีโอกาสที่จะเป็นโรคหลอดเลือดอักเสบ ทำให้หลอดเลือดตีบ หรือ ทำให้จับตัวเป็นลิ่มเลือด นำไปสู่การเสียชีวิตได้
-
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ และปอดบวมในผนังถุงลม
โรค SLE อาจโจมตีไปที่ปอด ทำให้เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ และทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเวลาหายใจ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังมีโอกาสเป็นโรคปอดอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อ
-
ความอ่อนแอของการติดเชื้อ
ผู้ป่วยที่เป็นโรค SLE จะมีความอ่อนแอต่อการติดเชื้อเป็นพิเศษ และสาเหตุคือ โรคดังกล่าว และยารักษาที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยมีความอ่อนแอเป็นพิเศษ การติดเชื้อที่พบเห็นทั่วไปได้แก่ ติดเชื้อทางช่องทางเดินอาหาร ติดเชื้อทางช่องทางเดินหายใจ ซัลโมเนลลา เริม และโรคงูสวัด ฯลฯ
การรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง
โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพราะการรักษาที่สม่ำเสมอช่วยทำให้โรคสงบได้ โดยแพทย์จะเริ่มทำการรักษาจากการประเมินความรุนแรงของอาการที่ผู้ป่วยเป็นว่ามากน้อยเพียงใด เพราะแต่ละคนอาการจะมีความรุนแรงของโรคไม่เท่ากัน หลังจากนั้น วางแผนการรักษาและการให้ยาในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก เกิดการอักเสบของร่างกายในหลายระบบ แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาสเตียรอยด์ หรือ ยากดภูมิเพื่อคุมโรค ดังนั้น ผู้ป่วยแต่ละคนจึงได้ยาแตกต่างกันตามความรุนแรงของโรค การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยมีความสำคัญมาก่อผลการรักษา ผู้ป่วยควรต้องหลีกเลี่ยง ไม่ให้ถูกแดด เพราะจะทำให้โรคกำเริบ และต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรขาดยา หรือหยุดยาเองเป็นอันขาด ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะจะเกิดอันตรายได้ ควรมาติดต่อรักษาตามแพทย์นัด อีกข้อหนึ่งที่สำคัญมากคือ พยายามอย่าเครียด จะช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้
……………………………..
(เครดิต : systemic-lupas-erythematosus_thai, SLE / Thai, Symtemic Lupus Erythematosus : Cause, Symptoms, www.healthline.com, Systemmic Luspus erythematosus ; medlineplus Medical, www.medlineplus.gov, Siriraj E public library, si.mahidol.ac.th, www.i-kinn.com
บทความที่เกี่ยวข้อง
โรครูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบเรื้อรัง ภัยเงียบที่ทำลายกระดูกและข้อ!