รู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้มีคนจำนวนมากเสี่ยงต่อโรคเบาหวานมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เนื่องจากไปทางไหนก็มีแต่น้ำดื่มหวาน ๆ ที่ราคาเข้าถึงง่ายอย่างชานมไข่มุกและชากาแฟที่นอกจากเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานแล้วยังเป็นต้นเหตุของการเกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย วันนี้เราจะมาแนะนำอาหารหวานชนิดหนึ่งที่นอกจากจะให้รสหวานได้แล้ว แถมยังช่วยบำรุงสุขภาพได้อีกด้วยนั่นก็คือ น้ำผึ้งหวาน ว่าแต่น้ำผึ้งดีต่อร่างกายอย่างไร แล้วควรทานในปริมาณเท่าไหร่ ทานบ่อยแค่ไหนถึงจะดีต่อร่างกาย มาอ่านไปพร้อมกัน
น้ำผึ้งหวานคืออะไร
น้ำผึ้งเป็นน้ำหวานที่เกิดจากกระบวนการตามธรรมชาติ โดยเริ่มจากผึ้งงานดูดน้ำหวานจากดอกไม้ เมื่อน้ำหวานไหลผ่านลำคอของผึ้ง น้ำหวานจะถูกน้ำย่อยในน้ำลายผึ้งแปรสภาพให้กลายเป็นน้ำตาลแปร โดยการบินของผึ้งจะช่วยเร่งการทำงานของเอนไซม์ ซึ่งจะช่วยเผาผลาญและลดความชื้นในน้ำหวานจนกลายเป็นน้ำผึ้งในที่สุด น้ำผึ้งประกอบด้วยสารอาหารหลักอย่างฟรุกโตส (Fructose) และกลูโคส (Glucose) นอกจากนี้ยังมีวิตามิน A, B2, B3, C, กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม และอื่น ๆ อีกมาก
น้ำผึ้งหวานมีกี่แบบ อะไรบ้าง
- น้ำผึ้งจากเกสรของส้ม มีฤทธิ์ขับพิษ ลดอาการบวม
- น้ำผึ้งจากเกสรเบญจมาศป่า มีฤทธิ์ขับลมพิษ
- น้ำผึ้งจากเกสรดอกลำไย มีฤทธิ์บำรุงเลือดและสมอง นอนหลับง่าย
- น้ำผึ้งจากเกสรดอกลิ้นจี่ มีฤทธิ์แก้กระหาย บำรุงหัวใจและไต
- น้ำผึ้งจากเกสรอบเชยป่า มีฤทธิ์กระตุ้นความอยากอาหาร
คุณประโยชน์จากน้ำผึ้งที่มากกว่าให้รสหวาน
- บรรเทาอาการเหนื่อยล้าจากกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวัน
- บรรเทาอาการหวัดและอาการไอ
- ผ่อนคลายสมอง บรรเทาอาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ
- ลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร
- ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ท้องจึงไม่ผูก
- ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดง แก้โรคโลหิตจาง
- บำรุงหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
ข้อควรระวังในการทาน
- น้ำผึ้งมีฤทธิ์ดูดน้ำ จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ท้องเสีย ถ่ายเหลว
- สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่ควรทานพร้อมกับเต้าหู้ กระเทียม หัวหอม และผักกุยช่าย เพราะนอกจากจะลดปริมาณสารอาหารในน้ำผึ้งแล้ว ยังก่อให้เกิดอาการท้องเสียตามมาด้วย
ทานบ่อยดี ๆ มั้ย ควรทานอย่างไร ทานวันละเท่าไหร่ดี
โดยทั่วไปแล้วสามารถทานได้ทุกวัน เพียงแต่ควรทานน้ำผึ้งวันละ 1-2 ช้อน (ประมาณ 20 กรัม) แต่ทั้งนี้ไม่ควรไม่เกิน 50 กรัม/วัน ส่วนวิธีการผสมกับน้ำน้ำน จะต้องใช้น้ำอุ่นไม่เกิน 40 องศา ไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนจัด ๆ เพราะอาจทำลายคุณค่าของสารอาหารในน้ำผึ้ง หรือหากคุณต้องการผสมดื่มแบบเย็นก็สามารถทำได้ แต่แนะนำให้ผสมกับน้ำขิงเล็กน้อย ป้องกันกระเพาะอาหารถูกความเย็นกระทบ
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะต่อการทานคือช่วงก่อนอาหาร อย่างน้อย 1-1 ชั่วโมงครึ่ง เนื่องจากช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายของเสียที่สะสมในร่างกายขณะนอนหลับได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แนะนำให้แบ่งสัดส่วนให้เหมาะสม ไม่ควรทานเกินกำหนดมาตรฐานในแต่ละวัน โดยอาจใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล อาจเทใส่ลงไปในเครื่องดื่มอย่างกาแฟหรือน้ำผลไม้ หรือทาลงบนขนมในระหว่างมื้ออาหารก็ได้เช่นกัน เนื่องจากน้ำผึ้งมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นไม่ให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวัน
น้ำผึ้งช่วยรักษาปัญหาสุขภาพได้อย่างไรบ้าง
1.อาการไอ
การรับประทานน้ำผึ้งหรือยาแก้ไอรสน้ำผึ้งก่อนนอนจะช่วยลดอาการไอตอนกลางคืนและอาการนอนจนไม่หลับที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากรสหวานของน้ำผึ้งจะช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำลายในลำคอ ทำให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้นและทำให้ไอน้อยลง
2.โรคเบาหวาน
นอกจากเป็นสารให้ความหวานที่ดีต่อสุขภาพแล้ว น้ำผึ้งยังดีต่อสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวานได้อีกด้วย เนื่องจากน้ำผึ้งจะช่วยลดระดบไขมันในเลือดและลดน้ำหนักตัวของผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย แต่เนื่องจากน้ำผึ้งมีฤทธิ์ทำให้ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนทานด้วย
3. เพิ่มประสิทธิภาพของออกกำลังกาย
เนื่องจากน้ำผึ้งมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้กลับสู่ภาวะปกติหลังจากการออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการวิ่งและช่วยให้ร่างกายเผาผลาญกลูโคสดีกว่ากลุ่มที่ดื่มน้ำประเภทอื่น
จากสรรพคุณที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าน้ำผึ้งอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย หากคุณต้องการทานแทนน้ำหวานต่าง ๆ ย่อมดีต่อสุขภาพมากกว่าอยู่แล้ว แต่น้ำผึ้งจะดีต่อร่างกายของคุณมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นประกอบด้วย เพราะหากคุณทานน้ำผึ้งเป็นประจำแต่กลับละเลยการดูแลสุขภาพ ย่อมเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพได้ด้วยเช่นกัน