สมัยยังเด็กเพื่อนข้างบ้านผมนั้นไม่ได้มีฐานะดีมากนัก คุณพ่อขับแท็กซี่ คุณแม่เป็นสาวโรงงาน เรียกว่าต้องหาเช้ากินค่ำก็ว่าได้ แต่ลูกเค้าวัยเดียวกับผมเลยสนิทกันเพราะเล่นด้วยกันมาตลอด
ผมเรียนเสร็จก็กลับบ้าน พ่อแม่ถึงไม่ได้รวยมากแต่มีรถยุโรปขับไปรับ-ส่งทุกวันเพราะคุณพ่อช่วงนั้นทำงานให้สหประชาชาติเลยได้สวัสดิการซื้อรถได้ราคาถูกเพราะปลอดภาษี จนถึงมัธยมที่ต้องรู้จักการนั่งรถเมล์ไปรร.เอง แต่ปิดเทอมก็มักนั่งเล่นเกมส์หรือได้ไปเที่ยวเล่นต่างจังหวัด
แต่ลูกคนข้างบ้านผมต้องช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่าง ขนาดบ้านผมเอาของไปทิ้ง ยังเห็นเค้าต้องมาคุ้ยดูว่ามีของอะไรที่ใช้ได้รึเปล่า
นอกจากนี้เค้ายังไปทำงานพิเศษอีก ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าคนที่เค้าไม่มีเงินแล้วลูกก็ต้องช่วยทำงานมันคืออะไร เวลาเห็นเพื่อนข้างบ้านอายุพอๆกับเราแต่ทำไมทำงานหาเงินได้ แถมใส่ชุดยูนิฟอร์มเท่ห์ๆ (ชุดเด็กเสริฟธรรมดาๆ) ออกจากบ้านช่วงเย็นๆทุกวัน วันนึงตอนปิดเทอม ม.2 เลยบอกถามเค้าว่างานที่ไปทำนี่คืออะไร เราขอไปทำบ้างได้ไหม
ถามมาพอได้ใจความว่าเค้าทำงานเป็นเด็กเสริฟร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นสวนอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแห่งหนึ่ง ห่างไปจากบ้านประมาณ 3-4 กม. เลยรบเร้าขอให้เค้าพาไปสมัครงานหน่อยเพราะอยากทำงานบ้างมันดูเท่ห์ดี
ไปถึงร้านเพื่อนผมคนนี้ก็พาเข้าหลังร้านไปนั่งเขียนใบสมัครกับฝ่ายบุคคล สรุปว่ารับเลย แต่ยังไม่ได้เป็นเด็กเสริฟนะ ให้เป็นเด็กเดินไปก่อน
ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่ามันต่างกันยังไง แต่คิดในใจว่าเท่ห์เว้ย ได้ใส่ชุดยูนิฟอร์มเด็กเสริฟแล้ว แถมได้เสริฟอาหารด้วย รู้สึกมันเท่ห์มากตอนนั้น
วันรุ่งขึ้นเริ่มงาน สรุปเป็นเด็กเดินคือมีหน้าที่เดินเอาถาดไปรับอาหารเวลาอาหารออกจากครัว แล้วเดินไปส่งที่โต๊ะที่สั่ง ส่วนเด็กเสริฟคือประจำอยู่ที่โต๊ะ มีหน้าที่ยกลงเสริฟ
เรียกว่าเด็กเดินนี่มีศักดิ์ต่ำสุดในผังโครงสร้างองค์กรหน้างานเลยทีเดียว
แล้วสวนอาหารนี้ ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แถมสร้างให้มีสเตปเดินขึ้นลง กับมียกระดับหลายชั้น บางเมนูเดินจนขาลาก จำได้ว่าเมนูที่ซึ้งที่สุดคือแป๊ะซะปลาช่อน เป็นหม้อไฟ หนักที่สุด ร้อนที่สุดเพราะจุดไฟตั้งแต่ออกจากครัว แถมมีแยกน้ำแกงด้วย เคยคิดว่าขออย่าโดนให้ยกเมนูนี้เพราะมันหนัก แต่วันนั้นโดนให้ยกแถมต้องยกไปโต๊ะที่ไกลที่สุดอีก
ทำงานทุกวันเข้างาน 5 โมงเย็น เลิกตี 1 ได้ค่าจ้างวันละ 100 บาทถ้วน บวกทิปรวมอีกนิดหน่อยประมาณวันละ 20 กว่าบาท
แต่เรียกว่าไม่คุ้มอย่างแรง เพราะคุณแม่เล่นพาเพื่อนมานั่งกินที่ร้านเกือบทุกวันเพราะตื่นเต้นอยากโชว์เพื่อนๆ ว่าลูกทำงานหาเงินเองได้ แกกินข้าวกับเพื่อนวันละหลายร้อย ยังไงคงไม่คุ้มกับค่าจ้างผมวันละร้อยแน่ๆ 555
ประเด็นของเรื่องนี้คือ
ก่อนมาทำงานเองผมไม่เคยรู้ว่าการทำงานจริงๆมันเหนื่อยและลำบากเป็นยังไง
แถมไม่รู้จักด้วยว่าคนที่เค้าขาดโอกาสในชีวิตจริงๆมันเป็นยังไง
มาทำงานได้วันละร้อย ต้องออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายสี่โมง ช่วยเก็บโต๊ะกว่าจะขี่จักรยาน 4-5กม. กลับบ้านมืดๆ เลิกงานตี 1 ถึงบ้านเกือบตี 2
โอโห ทำงานจริงๆมันเหนื่อยขนาดนี้เลย นี่วันละร้อยขอพ่อเอายังไงก็ได้ ดีไม่ดีแอบจิ๊กตังค์พ่อก็ได้แล้วร้อยนึง
แต่ผมอดทนทำจนหมดปิดเทอม สุดท้ายได้เงินเหลืออยู่เป็นพัน เลยเอาไปซื้อรองเท้าหนังที่อยากได้เท่ห์ๆ มาคู่นึง ไปใส่อวดเพื่อนว่าคู่นี้กรูทำงานซื้อมาเองนะ ความรู้สึกเหมือนได้ครองโลกเลย
ไอ้การอดทนเสริฟอาหารจนซื้อรองเท้าคู่เดียวได้เนี่ย ทำให้ผมมีความเคาพและยอมรับนับถือในตัวเองมาถึงทุกวันนี้ได้ คือถ้าเรารู้จักบังคับตัวเองให้อดทนทำอะไรให้เสร็จลุล่วงได้ เราจะได้รับมัน
รองเท้าคู่เดียวที่เป็นสัญลักษณ์ของการครอบครองโลกนี้มาได้ของผม กลายเป็นแรงผลักดันมหาศาลถึงทุกวันนี้เวลาจะลงมือทำอะไร ถ้าไม่เสร็จ ไม่เลิก
สรุปว่าการไปทำงานได้เงินวันละร้อยที่รู้สึกโคตรจะไม่คุ้ม กลายเป็นทำให้เราลิ้มรสคำว่าทำอะไรสำเร็จด้วยตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต และบทเรียนนี้ก็สอนว่า ถ้ายอมอดทนลำบาก มีวินัย มันจะมีความสำเร็จอันหอมหวานรอเราอยู่ ซึ่งไม่ใช่สิ่งของ แต่มันคือความภูมิใจในตัวเอง และการเห็นคุณค่าในความสามารถของตนเอง จนนำไปถึงความเชื่อมั่นว่าถ้าเราตั้งใจ เราก็ทำสิ่งที่คนอื่นทำได้เหมือนกัน
นอกจากนี้ที่สำคัญคือทำให้เราได้รู้จักโลกอีกด้านที่มืดหม่น ที่เราไม่เคยรู้ถึงการมีอยู่
เด็กเสริฟที่มาทำงาน หลายๆคนมาขอคุยด้วยกับผมอยากเป็นเพื่อน ผมเองก็รู้สึกดีเพราะส่วนตัวก็อยากมีเพื่อนอยู่แล้วไม่ได้เกี่ยงหรอกว่าใครเป็นยังไงเพราะก็เป็นคนเหมือนๆ กัน แต่พอถามๆ ก็ได้ใจความว่าเพราะดูผมไม่น่าต้องมาทำงาน เลยอยากรู้จัก
เลยทำให้ผมรู้จักโลกอีกด้านหนึ่งที่ในชีวิตไม่เคยรู้มาก่อน ว่ามีคนที่ต้องหยุดเรียนแค่ป.6 แล้วต้องมาทำงานเพราะที่บ้านไม่มีเงินส่ง
ได้รู้จักคนที่เรียนปวช. แล้วอยากพูดภาษาอังกฤษเป็นแต่ที่รร. ไม่สอน เลยซื้อดิกชันนารีมาท่องเอง ผมเคยบอกเค้าไปว่า ท่องดิกฯมันจะไปพูดภาษาอังกฤษได้ยังไง คำตอบเค้าทำให้ผมอึ้งว่า นายไม่เข้าใจหรอก เราอยากมีโอกาสแต่ไม่มีเหมือนนาย เราก็ต้องดิ้นรนเอง อย่างน้อยซื้อดิกฯมันไม่แพง ให้ไปลงเรียนกับครูเราไม่มีเงินหรอก
ฯลฯ อีกมากมายที่ทำให้เรารับรู้ได้ถึงคำว่าความไม่เท่าเทียมและโลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยทั้งๆ ที่ก็เป็นคนเหมือนๆ กันแต่ทำไมไม่ได้รับโอกาสพอๆ กัน
ไปทำงานแค่เด็กเสริฟ แต่เปลี่ยนมุมมองของโลกที่ผมมีไปเลย จากนั้นมาผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่า คนที่ไม่มีโอกาส ก็คือเค้าไม่มีจริงๆ และคนที่เค้าลำบาก เค้าลำบากจริงๆ
เศษอาหารเหลือๆ จากจานอาหารลูกค้า มันคือของมีค่าของเค้าที่เราเอามากินต่อดีกว่าทิ้ง ผมก็เคยกิน เออ พอไม่ยึดติดมันก็อร่อยดีนะ
หลังจากนั้นมา ผมก็มีความละอายต่อตัวเองมากๆ เวลาที่ทำอะไรแล้วทำไม่เต็มที่
เวลาทำอะไรแล้วทำขอไปทีแล้วรู้สึกว่านี่ถ้าเป็นเพื่อนๆ ที่ผมเจอตอนเป็นเด็กเสริฟ เค้าได้มีโอกาสมาทำสิ่งที่ผมทำ เค้าคงทำเต็มที่กว่านี้อีก พอคิดขึ้นมาทีไรตัวจะเด้งขึ้นมาปั่นงานต่อทันที
ผ่านมาหลายสิบปีแล้วผมยังไม่ลืมหน้าตากับคำพูดของเพื่อนๆ ที่สอนผมจากชีวิตจริงถึงคำว่าชีวิตที่ขาดโอกาสเหล่านั้นเลย
ส่วนแป๊ะซะปลาช่อนชุดนั้น ทำให้ผมมีความเชื่อมั่นในตัวเองเวลาจะทำสิ่งต่างๆ ที่คิดว่าทำไม่ได้แน่ๆ เพราะยังจำความรู้สึกตอนโดนให้ยกแป๊ะซะปลาช่อนชุดนั้นได้ถึงวันนี้ว่า กรูยกไปไม่ถึงและมันต้องหลุดมือกลางทางแน่ๆ เมนูไรฟระเนี่ย ทั้งหนักทั้งร้อน ไม่คิดถึงคนยกบ้าง
แต่สุดท้ายผมก็เดินพามันไปถึงโต๊ะได้อย่างสมบูรณ์
ผมว่าชีวิตคนเราก็เหมือนแป๊ะซะปลาช่อนนี่แหละ เกือบทุกโจทย์ใหม่ๆ ที่มันยาก เราก็คิดว่าทำไม่ได้ไว้ก่อน
พอเราโตขึ้นมามันก็แค่แป๊ะซะปลาช่อนที่กลายร่างเป็นรูปแบบอื่น ก็เท่านั้นเอง
และถ้าเป็นคนอื่น เค้าอาจจะทำเต็มที่กว่านี้อีก ดังนั้น “จงอย่าทิ้งขว้างความพยายาม”
แล้วแป๊ะซะปลาช่อนของคุณล่ะครับ วันนี้มันคืออะไร?
สุดท้ายนี้ หากคุณมี self-esteem นับถือตนเองและเคารพตัวเองแล้ว ก็อย่าลืมเคารพและเห็นใจคนอื่นด้วย เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาส หรือจะทำได้อย่างที่เราคิดกันทุกคนครับ ดังคำที่ว่าเมตตาธรรมค้ำจุนโลกา ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้โลกนี้ดีขึ้นเสมอทั้งกับตัวคุณและกับผู้อื่นครับ
………….