ปี 2563 เป็นปีแห่งการเริ่มต้นทศวรรษของกลุ่ม “Young Old”
กลุ่มผู้สูงอายุที่ยัง “เด็ก” หรือถูกเรียกอีกชื่อว่าเป็นกลุ่ม “Yold”
Young Old หรือ Yold เป็นศัพท์ที่ถูกเรียกในญี่ปุ่น สำหรับเรียกผู้สูงอายุวัย 65 – 75 โดยหากเทียบกับเจเนอเรชัน “เบบี้บูม” ซึ่งมีระยะเวลายาวนานถึง 20 ปีแล้ว ปีที่มีอัตราการเกิดสูงที่สุด จะอยู่ที่ปี 2498 – 2503 ซึ่งปัจจุบันคนกลุ่มนี้ จะมีอายุตั้งแต่ 60 – 65 ปี ปัจจุบัน ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การ “เกษียณอายุ” ของคนกลุ่มนี้ จะอยู่ที่ 65 ปี อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่า ตั้งแต่ปี 2563 – 2568 การเกษียณอายุของคนกลุ่มนี้จะ “ขยับขึ้น” ไปอยู่ที่ 65 ปี หรือมากกว่านั้น
Young Old มีดีอย่างไร?
กลุ่ม Yold การเงินดีมาก เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ?
มีการสำรวจหลายชิ้น ระบุว่า ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพทางการเงินของคนกลุ่มนี้ “ดูดี” กว่าผู้สูงอายุในเจเนอเรชันก่อนหน้า ในประเทศร่ำรวยพบว่ามีผู้สูงอายุวัย 65 – 74 ปี รวมกันสูงถึง 134 ล้านคน หรือคิดเป็น 11% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจาก 99 ล้านคน ใน 20 ปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่เติบโตเร็วที่สุด หากเทียบกับประชากรกลุ่มอื่น นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกว่าผู้สูงอายุวัย 65 – 74 ในปัจจุบันมีสุขภาพที่ “แข็งแรง” ขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ โดยอายุขัยเฉลี่ยใน “ประเทศที่พัฒนาแล้ว” สูงขึ้นกว่าเมื่อ 2 ทศวรรษก่อนถึง 3.7 ปี และในปีที่อายุขัยเพิ่มขึ้นนั้น พวกเขายังมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ได้ป่วยติดเตียง หรือป่วยด้วยโรคเรื้อรัง
สุขภาพทางการเงินของคนกลุ่มนี้ก็ดีไม่แพ้กัน มีการสำรวจพบว่า ระหว่างปี 2532 – 2556 ครอบครัวของผู้ที่อายุ 62 ปีขึ้นไปมีทรัพย์สินเฉลี่ยมากขึ้นกว่า 40% อยู่ที่ 2.1 แสนเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8 ล้านบาท) ขณะที่กลุ่มประชากรอื่น ๆ กลับมีทรัพย์สินเฉลี่ยลดลง นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาพบว่า คนกลุ่ม Yold ยัง “ยุ่ง” มากขึ้น ในปี 2559 มากกว่า 1 ใน 5 ของคนวัย 65 – 69 ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ยังคงทำงานอยู่ มีงานวิจัยพบว่า ยิ่งคนกลุ่มนี้ทำงานมากเท่าไหร่ จะยิ่งทำให้พวกเขามีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น และมีอายุยืนยาวขึ้น การศึกษาในเรื่องที่ใกล้เคียงกันจากเยอรมนี ยังพบด้วยว่า ยิ่งวัยเกษียณยังคงทำงานต่อเนื่องต่อไป ภาวะถดถอยของการ “รับรู้” ในวัยชราจะลดน้อยลง รวมถึงการรับรู้จะดีขึ้นกว่าอายุจริงถึง 1 ปีครึ่ง
กลุ่ม Yold จึงไม่ใช่กลุ่มคนวัยเกษียณธรรมดาอีกแล้ว
Yold ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงไม่ใช่กลุ่มคนวัยเกษียณธรรมดา ที่สวมรองเท้าแตะ นั่งเลี้ยงหลานอยู่บ้าน แต่จะกลายเป็นกลุ่มคนที่ “ดิสรัปท์” วงการการตลาด การบริการ และการเงิน ตราบใดที่คนกลุ่มนี้แก่ช้าลงเรื่อย ๆ
Generation วัยเกษียณถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังการซื้อสูง
สิ่งที่เริ่มสะท้อนให้เห็นแล้วก็คือ ในบรรดาธุรกิจสายการบินทั่วโลก “ลูกค้า” กลุ่มใหญ่ที่สุดคือผู้โดยสารวัย 60 ปี ในธุรกิจท่องเที่ยวก็เช่นกัน เจเนอเรชั่นเกษียณอายุ ถือเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายต่อหัวสูงที่สุด เมื่อเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ และในด้านการศึกษาก็เช่นกัน ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีนักศึกษาแผนกการศึกษาต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่ และวัยเกษียณอายุ สัดส่วนเพิ่มมากขึ้นกว่านักศึกษาปกติ ขณะเดียวกัน บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันสุขภาพ ก็เปลี่ยนตัวเองจากการจ่ายบำนาญด้วย “อัตราคงที่” ไปสู่การบริหารเงินบำนาญให้แอคทีฟมากขึ้น และให้ผลตอบแทนมากกว่าเดิม
อายุการทำงานมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น
นอกจากนี้ กลุ่ม Young Old (Yold) ยังเปลี่ยนวิธีคิดของผู้บริหาร และแผนกทรัพยากรบุคคลในองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง จากเดิมที่คิดว่ายิ่งอายุมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานยิ่งเสื่อมถอยมากขึ้น ผลสำรวจจากบริษัทผลิตรถบรรทุก และบริษัทประกันชีวิตเยอรมัน พบว่า ยิ่งอายุการทำงานมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานเฉลี่ยกลับสูงขึ้น ขณะเดียวกัน การที่ทีมหนึ่งทีม มีกลุ่มอายุที่หลากหลาย โดยมีชาว Yold เข้าไปร่วมเป็น “มันสมอง” ด้วย จะทำให้ทีมมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น และที่สุดแล้ว เมื่อคนวัย 65 – 75 ปี ยังคงทำงานได้ ก็จะลดภาระของรัฐบาลในการอุดหนุนระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า และระบบบำนาญลดลง เพราะในเมื่อคนกลุ่มนี้ยังทำงานได้ และมีสวัสดิการจากที่ทำงาน ก็ไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะจ่ายเงินช่วยเหลือเหมารวมแบบที่ผ่านมา
ทัศนคติ ระหว่างคนรุ่นใหม่ และรุ่นเก่า
แต่เรื่องที่ใหญ่กว่าก็คือ “ทัศนคติ” ที่ต้องยอมรับก็คือเด็กรุ่นใหม่จำนวนมาก มองคนวัย 60+ ไม่ดีเท่าไหร่นัก โดยส่วนใหญ่มองคนวัยนี้ว่าเป็นพวก “กะโหลกกะลา” ที่ไม่ยอมทำงาน และรอวันเกษียณเพียงอย่างเดียว องค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง “เลือกปฏิบัติ” ด้วยการจัดอบรม พัฒนาความรู้ใหม่ ๆ ให้กับเด็กรุ่นใหม่เท่านั้น ส่วนคนวัยใกล้เกษียณ ให้นั่งอยู่กับออฟฟิศเฉย ๆ และองค์กรบางแห่ง ถึงขนาดเปลี่ยนสัญญาจ้าง ให้คนกลุ่มนี้เป็นพนักงาน “พาร์ทไทม์” หรือ “Job – Sharing” คือให้งานทำเป็นชิ้น ๆ ไปเท่านั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอน ก็คือ กลุ่ม Yold จะเรียกร้องให้องค์กร “เป็นมิตร” ต่อวัยของพวกเขามากขึ้น และในเวลาเดียวกัน ก็ขอให้คนที่อายุน้อยกว่า มองเขาในแง่บวกมากขึ้นเช่นกัน
นโยบายรัฐบาลแต่ละประเทศอาจต้องเปลี่ยน
นโยบายรัฐบาล ก็เป็นอีกอย่างที่ต้องเปลี่ยน ประเทศร่ำรวยอีกหลายประเทศทั่วโลก ยังคงมีอายุเกษียณที่ไม่สูงนัก แม้หลายคนที่เกษียณไปแล้ว จะอยากทำงานต่อก็ตาม การที่ตัวเลขของกลุ่ม Yold สูงขึ้นเรื่อย ๆ จะเปลี่ยนการใช้จ่าย และภาระงบประมาณในเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกัน โรคภัยไข้เจ็บจำนวนมาก สามารถป้องกันได้ และจะดีขึ้นหากเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ แต่ในหลายประเทศทั่วโลก ลงทุนเพียง 2-3% เท่านั้น ในการส่งเสริมป้องกันโรค
หากกลุ่ม Yold มีจำนวนมากขึ้น ก็หมายความว่า รัฐบาลจะต้องลงทุนมากกว่านี้ในการส่งเสริมสุขภาพ-ป้องกันโรค เพื่อลดงบประมาณการรักษา “โรคเรื้อรัง” ซึ่งจะสูงขึ้นมหาศาลตามไปด้วยในอนาคต โดยเฉพาะในวันที่กลุ่ม Yold อายุเกิน 75 ในอีก 10 ปีข้างหน้า
จริงหรือไม่ที่กลุ่ม Yold มีประสิทธิภาพสูงเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว ?
คำถามสำคัญก็คือ กลุ่ม Yold นั้น มีประสิทธิภาพสูง เฉพาะในประเทศที่ร่ำรวย หรือประเทศที่พัฒนาแล้วหรือไม่ และในประเทศที่ “กำลังพัฒนา” อย่างไทยนั้น กลุ่ม Yold ยังกระฉับกระเฉง พร้อมที่จะทำงานต่อไหม เพราะเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาล จะขยายการเกษียณอายุจาก 60 เป็น 65 ปี สิ่งที่ได้รับดูจะเป็น “ก้อนอิฐ” มากกว่า “ดอกไม้” แต่ถ้ามีการศึกษาที่ชัดเจนมากกว่านี้ว่าคนวัยเกษียณในไทย ยังพร้อมที่จะทำงาน การขยายอายุเกษียณ ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย…
……………
Credit : The decade of the yold, People turning 65 will not retire quietly into the backgroundโดย John Parkers นิตยสาร The Economist, The World in 2020,
Credit photo : shutterstock.com
Royal CBD
May 12, 2020Fine way of describing, and fastidious paragraph to take facts on the topic of my presentation focus, which i am going
to deliver in university.
Siriphorn Ariya
May 15, 2020Thanks
Anonymous
May 25, 2020Good for sharing
Burton
August 4, 2020I could not refrain from commenting. Very
well written!
My web site Gloria