น้ำมะขามเปียก ถือเป็นไอเท็มคู่ครัวไทยที่มีความนิยมใช้กันอย่างยาวนานค่ะ เนื่องจากเป็นวัตถุดิบสารพัดประโยชน์เช่น ใช้ปรุงอาหารช่วยให้รสเปรี้ยวอย่างนุ่มนวล ไม่เปรี้ยวแหลมปรี๊ดดดเหมือนมะนาวและน้ำส้มสายชู ช่วยให้ทำความสะอาดเครื่องเรือนที่ทำจากเงินให้สุกสว่าง และสำหรับสาวๆ ที่ต้องการให้ผิวสวยๆ เรียบเนียนทั้งร่างก็สามารถนำมะขามเปียกมาขัดตัวระหว่างอาบน้ำก็ได้ค่ะ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่า หลายๆ คนน่าจะยังไม่ทราบแน่ๆ ว่า น้ำมะขามเปียกสามารถช่วยลดไขมันในเลือดได้ด้วยนะคะ
ประโยชน์ของน้ำมะขามเปียก
จริงๆ แล้วประโยชน์ของมะขามนั้นมีมากมายสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่ฝักยันใบยันรากมะขามเลยค่ะ แต่ละที่นิยมกันมักจะใช้เนื้อมะขามมากกว่า
- เนื้อมะขามเปียก อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยบำรุงผิวสวยงามสุขภาพดี ทำให้นิยมนำไปขัดผิว ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน นอกจากนี้มะขามเปียกยังมีแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงอยู่เสมอ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกายด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
- มะขามเปียกสามารถนำมาคั้นสดๆ ดื่มทุกวันใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยปรับสมดุลในร่างกายให้ถ่ายคล่องมากขึ้น
- เนื้อมะขามเปียกมีฤทธิ์ขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอ เพียงแค่นำมาจิ้มเกลือนิดหน่อยทานแทนยา
- สำหรับใครที่มีอาการท้องเดินบ่อยๆ สามารถนำมะขามเปียกมาต้มกับน้ำปูนใสแล้วดื่มจะช่วยลดอาการท้องเดินได้
สารอาหารในมะขามเปียก
- คาร์โบไฮเดรต ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้เล็ก ป้องกันไม่ให้ท้องผูก
- ใยอาหาร ป้องกันท้องผูก ลดการเกิดโรคริดสีดวงทวาร ช่วยกำจัดของเสียในลำไส้
- ไขมัน ตัวช่วยในการละลายวิตามิน สร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย
- โปรตีน ช่วยปรับปริมาณน้ำตาลในเลือด ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ
- วิตามินบี 1 ช่วยบำรุงระบบประสาท บำรุงสมอง
- วิตามินบี 2 ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและทำให้เส้นเลือดแข็งตัว
- วิตามินบี 3 บำรุงสมองและระบบประสารทเสริมสร้างความจำ
- วิตามินบี 5 ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ
- วิตามินบี 6 ป้องกันภาวะโลหิตจาง ชะลอวัย ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
- วิตามินบี 9 บำรุงผิว ช่วยให้ผิวสีสม่ำเสมอ ป้องกันอาการร้อนใน
- โคลีน ช่วยการทำงานของตับและสมอง ป้องกันภาวะไขมันพอกตับ
- วิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระ ลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย เสริมภูมิต้านทาน บรรเทาอาการภูมิแพ้
- วิตามินอี ปกป้องเซลล์ในร่างกายจากสารอนุมูลอิสระ
- วิตามินเค ช่วยในการแข็งตัวของเลือด บำรุงเนื้อเยื่อในกระดูกในแข็งแรง
- แคลเซียม บำรุงกระดูกและฟันในแข็งแรง
- เหล็ก ป้องกันภาวะโลหิตจาง ช่วยไม่ให้ร่างกายอ่อนเพลีย
- แมกนีเซียม ช่วยในกระบวนการสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ และฟัน
- ฟอสฟอรัส ควบคุมกรดและด่างในเลือดให้มีความสมดุลกัน
- โพแทสเซียม ลดความดันในเลือด บำรุงหัวใจ
- โซเดียม ควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย ควบคุมความดันในเลือด
- สังกะสี เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยสร้างโปรตีนและคอลลาเจน
น้ำมะขามเปียก ลดไขมันในเลือดได้อย่างไร?
เนื่องจากในมะขามเปียกมีสารไซโลกลูแคน (xyloglucan) ซึ่งมีส่วนช่วยยับยั้งการสร้างไขมันในร่างกาย รวมถึงยับยั้งไขมันที่พอกในตับและกระแสเลือดได้ดี สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดีในเลือดได้ ซึ่งมีการทดลองในหนูขาวมาแล้วปรากฏว่า สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูขาวที่มีภาวะโรคเบาหวานได้ถึง 60.48% เลยค่ะ
วิธีทาน : แกะเนื้อมะขามเปียกล้วนๆ ละลายในน้ำสุกอุ่น ประมาณ 250 ซีซี หรือประมาณ 1 แก้ว ห้ามเติมเกลือและน้ำตาล ดื่มวันละครั้งหลังอาหารเย็น ปริมาณการผสมเนื้อมะขามให้อิงตามน้ำหนักตัว คือ 0.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น หากมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัมก็ใช้เนื้อมะขามเปียกประมาณ 25 กรัม
ข้อควรระวัง
- ไม่ควรทานมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ท้องเสีย และต้องไม่ควรทานครั้งละมากๆ คือ 1 แก้ว ควรแบ่งทานเป็นวันละ 3 เวลาหลังอาหารเท่านั้น
- การใช้น้ำมะขามเปียกเพื่อใช้ระบายไม่ควรใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ผู้ที่มีภาวะลำไส้อุดตัน ลำไส้อักเสบ สตรีมีครรภ์ (หรือคาดว่ากำลังมีครรภ์) และสตรีให้นมบุตร
- ไม่ควรทานติดต่อกันเกิน 30 วัน เพราะอาจจะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำมากเกินไป
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
8 อาหารท้องอืด กินแล้วพุงยื่น ไม่อยากท้องป่องต้องเลี่ยง
กล้วยทําให้อ้วนไหม สรุปกินกล้วยช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ?
ผลไม้น้ำตาลสูง ยิ่งกินยิ่งอ้วน ลดน้ำหนัก เบาหวานต้องหลีกเลี่ยง