มีคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่องหนึ่ง ที่เราสามารถประยุกต์เข้ากับชีวิตการงานได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ พนักงานออฟฟิศ ภารโรง หรือคนขับรถ ไม่จำกัดอาชีพ เชื้อชาติ ศาสนา
เป็นหลักที่บอกกับทุกคนว่า ทุกหน้าที่นั้นประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง
คนเราจะทำสิ่งใดให้สำเร็จต้องพึ่งกำลัง ซึ่งไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม พลังทั้ง 5 นี้คือสิ่งที่จะพาให้เราถึงเป้าหมายได้
พระพุทธเจ้าท่านเรียกคำสอนนี้เรียกว่า “พละ 5” หมายถึง กำลังทั้ง 5
ประกอบด้วย
1)ศรัทธา
2)วิริยะ
3)สติ
4)สมาธิ
5)ปัญญา
ในทางธรรม พละ 5 คือกำลังที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์ ผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
ในทางโลก พละ 5 นั้นก็คือวิธีการบริหารจัดการตนเองให้ประสบความสำเร็จอีกเช่นกัน
พลังทั้ง 5 นั้นมีจุดเริ่มที่เหมือนกันคือ “ศรัทธา” (ความเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างปักใจ)
คนๆหนึ่ง สามารถบวชเป็นพระได้ตลอดชีวิต หรือกราบไหว้บูชาใครซักคน ที่มาก็เกิดจากกำลัง”ศรัทธา”เป็นสำคัญ
คนทำงานหรือนักธุรกิจก็เช่นกัน บางคนสามารถทำงานบางอย่างได้แทบไม่หลับไม่นอน ก็เพราะ “ศรัทธา” ที่มีต่องานนั้นๆ
พนักงานบางคน ทำงานอย่างทุ่มเท เพราะเชื่อว่า งานหรือบริษัทนี้ให้ชีวิตความเป็นอยู่ และรายได้มาเลี้ยงดูครอบครัวของเขาได้
นักธุรกิจบางคน ทำงานแทบ 24 ชม. เพราะเชื่อว่าธุรกิจนี้จะทำให้เขารวยเป็นพันล้านได้ เป็นต้น
เมื่อ”ศรัทธา” เกิด จำเป็นต้องมี “วิริยะ” คือความเพียร
คนเราไม่สามารถจะทำอะไรได้สำเร็จด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องลงมือปฏิบัติอย่างพากเพียรด้วย
อย่างไรก็ดี
กำลังทั้ง 2 คือ ศรัทธา กับ วิริยะนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีถึงจะมีได้ จริงๆคนเลวก็มีได้
คนบางคนเห็นนักการเมืองโกงกินจนร่ำรวยขึ้นมาได้ มีคนนับหน้าถือตา ก็เกิดความศรัทธาในนักการเมืองและวิธีของคนๆนั้น เกิดความพยายามที่จะทำให้ได้อย่างเขา จนเกิดนักการเมืองคนใหม่ที่เลวยิ่งกว่าจากยุคสู่ยุคได้
ขโมยบางคน เชื่อว่าการขโมย จะทำให้เขามีชีวิตที่สุขสบาย หรือแม้กระทั่งเอามาเลี้ยงครอบครัวได้
การมาของ “พละ” ที่ไม่ครบทั้ง 5 จึงมักพาให้คนๆนึง ออกนอกเส้นที่ควรจะเป็นได้
“ความเชื่อ” และ “ความพยายาม” จึงขาด พลังที่ 3 คือ “สติ” (ความระลึกได้และรู้สึกตัว) ไปไม่ได้
คนเราจะทำเรื่องที่ไม่ดีได้ยากขึ้นมากๆ ถ้ามี “สติ” รู้ตัวและใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทว่าการเกิดมาเป็นคนนั้นมันเป็นเรื่องยาก และจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เช่นเดียวกับการเป็นพนักงานบริษัทหรือเจ้าของธุรกิจ สตินั้นมักช่วยให้เราไม่ตัดสินใจบนพื้นฐานของอารมณ์
เมื่อมี “ความเชื่อ” เราจึงยิ่งมี “ความพากเพียร” เจอปัญหาใดๆที่เข้ามา ก็มี “สติ” เมื่อรวมกันเข้าเป็นเวลาต่อเนื่องกันนานๆ จึงเกิด “สมาธิ” ทำให้เราสามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างยาวนานติดต่อกันได้
เมื่อเชื่อว่าดี เราจึงพยายาม ทำสิ่งตรงหน้าด้วยสติ
จึงทำให้เกิด”ปัญญา”
ในเรื่องการงาน “ปัญญา” เปรียบได้กับกลยุทธที่ได้ถูกกลั่นกรองออกมาผ่านการพินิจพิเคราะห์แล้วอย่างดี
และ”กลยุทธ”คือสิ่งที่คนทำงานสามารถนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหา, ตัดสินใจ, พัฒนาองค์กร ฯลฯ
ทุกตำหน่งหน้าที่สามารถใช้ พละ 5 เพื่อความสำเร็จในชีวิตได้ทุกคน
ชีวิตก็เช่นกัน
ลองตั้งคำถามกับ “ศรัทธา” และ “วิริยะ” ของตัวเองดู ทั้งในส่วนของหน้าที่การงาน
และการใช้ชีวิต บนพื้นฐานคำสอนที่ว่า อัตตาหิ อัตโน นาโถ
ผมเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดในป่าบนภูเขาในพื้นที่ห่างไกลติดกันทุกเดือนมา 10 กว่าปีแล้ว ซึ่งระยะเวลานี้ไม่ได้แปลว่าผมจะดีกว่าคนอื่น แค่รู้สึกว่ามันสงบดีก็เลยไปบ่อยๆ
แน่นอนว่าบางทีก็ขี้เกียจบ้าง แต่ทุกครั้งที่เกิดความท้อถอย ผมก็จะเตือนตัวเองด้วยคำว่า พละ 5 นี้แหละ เพื่อบอกกับตัวเองทุกครั้งว่า ถ้าอยากได้ปัญญา ก็ต้องมีวิริยะ ลำพังนั่งๆนอนๆอยู่กับบ้านคงไม่สำเร็จ
ในกิจการของตัวเองก็เหมือนกัน ถ้าเราพบกับปัญหา หรือความท้าทาย บางอย่างก็ทำให้ท้อถอย สิ่งที่ผมมีไว้สำคัญที่สุดก็คือ พละทั้ง 5 นี้เอง เพราะความศรัทธาและความเชื่อที่มีในงานของเรา จึงทำให้เราเกิดวิริยะที่สูงกว่าคนปกติทั่วไป และเมื่อประกอบกับ สติ สมาธิ ปัญญา นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฟันฝ่าปัญหามาทุกครั้งอย่างไม่ต้องเบียดเบียนทีมงานให้ต้องมาเครียดตามไปด้วย
และเมื่อฝึกสติให้แข็งแรงไปสู้กับอัตตาได้ ผมพบว่าคนเราสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติโดยไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่นแต่มีความสุข และประสบความสำเร็จได้
จะเป็นเจ้าของกิจการ พนักงาน คนทำงานในโรงงาน ฯลฯ ถ้ามุ่งเน้นที่หน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ใส่ความเพียรพยายาม ใช้สติในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น มีสมาธิจดจ่อเพื่อให้ผลของงานดีที่สุด จะได้รางวัลที่สำคัญที่สุดคือ ปัญญา ที่จะพาคนๆ นั้นทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นไปได้อีกทั้งกับขีวิตตนเอง หรือชีวิตหน้าที่การงาน
ขอพลังจงสถิตอยู่กับทุกท่านครับ
……….