หากต้องการกินปลาให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด ควรเลือกกินปลาอะไรดีที่สุด และระหว่างปลาทะเลน้ำลึกและปลาน้ำจืดนั้นมีประโยชน์แตกต่างกันมากหรือไม่? เหมาะกับใคร และวิธีปรุงปลาอย่างไรให้ได้ประโยชน์และกลบกลิ่นคาวได้ดีที่สุด วันนี้ I-kinn มีคำแนะนำดีๆ มานำเสนอค่ะ
ประโยชน์ของเมนูปลา
ปลาเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและยังสามารถนำไปรุงอาหารได้หลากหลาย เนื้อปลาเป็นเนื้อสัตว์ชนิดดีที่มีโปรตีนสูง ไขมันดี วิตามินต่างๆ บางชนิดมี Omega 3 ที่มีประโยชน์บำรุงร่างกาย เช่น ช่วยบำรุงผิว ให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันมะเร็ง เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ควบคุมความดันโลหิต และบำรุงระบบประสาทและสมอง ป้องกันโรคความจำเสื่อม
7 ปลาไทยโอเมก้าสูง ดีต่อใจ ราคาไม่แพงแถมดีต่อสุขภาพ
เนื้อปลา เหมาะกับใคร
เมนูปลานั้นสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายชนิดทั้งอาหารไทยและสไตล์ฟิวชั่น เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เนื่องจากภายในร่างกายของผู้สูงอายุมีความเสื่อมสภาพลงไม่สามารถย่อยเนื้อสัตว์เช่น เนื้อหมู เนื้อวัวได้ดีเช่นเดิมดังนั้นการทานเนื้อปลาจึงเป็นโปรตีนที่ดีที่สุดช่วยให้ย่อยง่าย
นอกจากผู้สูงวัยแล้ว เมนูปลายังเหมาะกับเด็กเล็กที่เพิ่งหัดทานอาหาร ( อายุ 6 เดือนขึ้นไป) โดยเนื้อปลาที่เหมาะสำหรับให้เด็กหัดทาน ควรเป็นเนื้อปลาชนิดที่บดง่าย เช่น ปลาแซลม่อน ปลาช่อน ปลาอินทรี ปลาทู ปลาทูน่า โดยนำไปนึ่งหรือต้มจนสุกแล้วนำมาบด (ระวังก้างเล็กๆ ให้ดีเพราะอาจจะทำอันตรายเด็กได้)
ควรเลือกใช้เนื้อปลาชนิดสดใหม่ ไม่ใช้เนื้อปลาแช่แข็ง เนื่องจากปลาที่ผ่านการแช่แข็งมามักถูกแช่ในเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ สารกันบูด สารโซเดียมไตรโพลีฟอตเฟต (Sodium Tripolyphosphate) เพื่อช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นในเนื้อปลาเพื่อรักษาคุณภาพและรักษาความชุ่มชื้นระหว่างละลาย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการทานเนื้อแช่แข็ง
วิธีดับกลิ่นคาวปลา
หลายๆ คนที่ไม่ชอบทานเมนูปลาเพราะปลามักจะมีกลิ่นคาวที่หากทำไม่ดีก็จะส่งกลิ่นคาวจนทานไม่ลง วิธีดับกลิ่นคาวปลาก่อนทำอาหารได้ง่ายๆ คือ ควรโรยเกลือแกงลงไปถูบริเวณตัวปลาให้ทั่วเพื่อล้างเมือก แล้วนำน้ำผสมน้ำมะนาวมาล้างปลาให้สะอาด หากต้องการเพิ่มกลิ่นหอมในขั้นตอนการปรุงสามารถใช้สมุนไพรจำพวกตะไคร้ ใบมะกรูดได้ หรือหากนำให้เด็กทานสามารถเติมนมลงไปเป็นเมนูปลานึ่งนมก็สามารถลดกลิ่นคาวและเพิ่มกลิ่นหอมน่าทานเข้ามาแทน
กินปลาอะไรดีที่สุด ควรเลือกปลาทะเลหรือปลาน้ำจืดดีกว่ากัน
สำหรับใครที่กำลังสับสนว่า ถ้าอยากทานปลาควรเลือกทานปลาน้ำจืดและปลาทะเลดีกว่ากัน … เคยมีผลงานวิจัยที่เคยนำปลาเก๋า ปลากะพงแดง ปลากะพงขาว ปลาทู ปลาอินทรี ปลาสำลี ปลาน้ำจืด ได้แก่ ปลานิล ปลากราย ปลาไหล ปลาตะเพียน ปลาสลิด ปลาสวาย ปลาช่อน และปลาดุกซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปลาน้ำจืดและน้ำทะเลแบบคละกันเพื่อมาตรวจดูสารอาหารว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่? ผลวิจัยออกมาว่า สารอาหารในปลาน้ำจืดและน้ำทะเลมีปริมาณใกล้เคียงกัน เพียงแต่ความแตกต่างของปลาทั้งสองชนิดคือ
- ปลาน้ำจืดจะมีปริมาณแคลเซียมที่สูงกว่าปลาทะเล และมีมีระดับกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงกว่าเล็กน้อย
- ปลาทะเลมีปริมาณของกรดโอเมก้า 3 สูงกว่าปลาน้ำจืดเพราะปลาทะเลมักจะอาศัยในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าทำให้ให้มีการสะสมไขมันที่มากกว่า
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะทานปลาทะเลหรือปลาน้ำจืดต่างก็ได้รับสารอาหารและวิตามินต่างๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผู้ทานสามารถเลือกทานได้ตามสะดวกเลยค่ะ
“ปลาดิบ” ทานได้จริงๆ หรือไม่ควรทาน?
เมนูปลาดิบหรือซาซิมิเป็นเมนูสุดฮิตของชาวญี่ปุ่น แต่หลายๆ คนอาจจะมีความกังวลว่าเมนูซาซิมินั้นปลอดภัยจริงหรือไม่? .. จริงๆ แล้วเมนูซาซิมินั้นสามารถทานได้อย่างปลอดภัยเลยค่ะ เพียงแต่จำเป็นต้องเลือกทานซาซิมิจากปลาทะเลน้ำลึกเท่านั้น เนื่องจากปลาทะเลน้ำลึกนั้นจะมีโอกาสเจอพยาธิได้น้อยกว่าปลาน้ำจืด และกระบวนการจับปลานั้นจะค่อนข้างปลอดภัยเนื่องจากปากจะถูกแช่แข็งในอุณหภูมิที่สามารถฆ่าไข่พยาธิได้ จึงทำให้สามารถทานได้อย่างปลอดภัย แต่ว่าหากเป็นปลาดิบที่ทำมาจากปลาน้ำจืดไม่ควรทานเด็ดขาดเพราะเสี่ยงต่อพยาธิใบไม้ตับค่ะ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่? แซลมอนซาชิมิ ที่เราทาน อาจไม่ใช่แซลมอนแท้!!?