แรงบันดาลใจในการแชร์เรื่องนี้มาจากคอมเมนท์คุณผู้อ่านตอน ‘ครั้งหน้าพี่จะกอด’
คุณ garfield07 กรุณาแสดงทัศนะไว้ว่า “(คำถาม) ทำไม คือคำลบ คือการหาเรื่อง เช่น ทำไมเธอ/ลูกถึงทำแบบนี้” ดังนั้นจึงไม่ควรทำ ทว่ามันเป็นจุดอ่อนด้านการสื่อสารซึ่งผู้บริหารหลายคนอาจมองข้ามไป เพราะยิ่งเรียนมากยิ่งถูกสอนให้ถามว่า ทำไมๆๆๆ เพื่อพิเคราะห์และวิเคราะห์ปัญหา แต่คนไม่ใช่เครื่องจักร เพราะสมองมนุษย์มีองค์ประกอบของอารมณ์มากกว่าเหตุผล จุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งผู้นำสมองของผม มาจากโอกาสการได้ไปเรียนเรื่อง NeuroLeadership ของ Dr.David Rock ผู้เขียนหนังสือ Quiet Leadership และ Your Brain at Work NeuroLeadership คือการศึกษาภาวะผู้นำด้วยเครื่องมือและเหตุผลของวิทยาศาสตร์ด้านสมอง พยายามอธิบาย soft skills ด้วย hard science ที่น่าสนใจเพราะว่า หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ อาจค้านกับสิ่งที่เราทำและปฏิบัติกันในองค์กร คอลัมน์ Kid-D Tum-D สำหรับวันนี้ วิทยาศาสตร์มีคำแนะนำว่าให้หยุดถามกันและกันภายในองค์กรเสียทีว่า “ทำไม” Stop Asking Why! ผมเชื่อว่า วินาทีนี้คำถามแรกที่เกิดขึ้นในใจทุกท่านคือ “ทำไม?” ในเมื่อ Problem Solving ที่พร่ำสอนกันในองค์กรบอกให้ถามว่า ทำไมๆๆๆๆ จนกว่าจะเจอเหตุผล 5Why ใช้ได้กับปัญหาที่เป็นเหตุเป็นผล มีที่มาที่ไป อธิบายได้ไร้อารมณ์ ปัญหาที่ไม่ใช่ “มนุษย์”
.
สมองของมนุษย์แปลกอย่าง ยิ่งพยายามลืม ยิ่งจำได้ ยิ่งพยายามไม่คิด ยิ่งคิด ลองคิดถึงเวลาเราอกหัก (เรื่องนี้ผมประสบการณ์เยอะ) แล้วมีคนบอกเราว่า “อย่าไปคิดมาก” สิครับ ผลเป็นอย่างไร? ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นอธิบายได้บ้างด้วยวิทยาศาสตร์ ทุกครั้งยามเราจดจำอะไร เซลส์ในสมองของเราทำสิ่งที่เรียกว่า Mapping คือเกิดการเชื่อมประสานระหว่างกัน
ผ่านสัญญาณไฟฟ้าทางเคมี (Electrochemical Signal) คิดง่ายๆ เหมือนคนจับมือกัน แต่การประสานนี้ไม่ถาวร บางทีก็จับแน่น บางทีก็จับเบาๆ สิ่งที่เราจำได้แม่น
เกิดขึ้นเวลาที่เซลส์จับมือกันแน่น ถ้าจับแค่หลวมๆ วันหลังมือหลุด เราก็ลืม โอเคไหมครับ? และมือในสมองเหล่านี้สามารถจับกันได้หลายคู่ เวลาเรานึกถึงเรื่องอะไรซ้ำๆก็จะเกิดมือคู่ใหม่จับกัน ไขว้ไปไขว้มาจนแน่นเหนียวแกะไม่ออกแบบปลาหมึก นี่คืออาการของคนที่ไม่สามารถลืม “แฟนเก่า” ได้
.
คราวนี้คุณผู้อ่านลองนึกถึงเหตุการณ์นี้บ้างนะครับ ลูกน้องทำงานผิดพลาดบางอย่าง หัวหน้าเรียกพบ
หัวหน้า: “ทำไมถึงเกิดปัญหานี้ขึ้นได้?”
ลูกน้อง: “ผมคิดว่าอย่างนี้… สิ่งที่เกิดคือแบบนี้… เพราะสาเหตุนี้… ฯลฯ”
หัวหน้า: “แล้วทำไมคุณไม่ทำแบบนี้… หรือแบบนี้…
ไปทำแบบนั้นคุณไม่ได้คิดหรือว่าจะเกิด…ขึ้นได้”
ลูกน้อง: “แต่ตอนนั้น ลูกค้าบอกว่าเขาต้องการ… ไม่ได้ต้องการ…
ซึ่งมันไม่เหมือนกับที่ทางเขาบอกแต่แรก”
หัวหน้า: “คุณจำได้ไหมว่าใครเป็นคนบอก?”
ลูกน้อง: “คุณ… แต่เผอิญวันนั้นคุณ…ลา คุณ…มาแทน ผมพยายามติดต่อคุณ…ก็ไม่ได้
โทรหาตั้งหลายครั้ง…ฯลฯ”
.
พอเห็นภาพไหมครับ ขณะนี้ เซลส์สมองของทั้งสองคนนี้ กำลังจับมือกันวุ่นไปหมด ต่างฝ่ายต่างกำลังช่วยกัน “จำ” เหตุการณ์ที่ “อยากลืม” นี้ จำทั้งๆที่ไม่ควรและไม่อยากจำ ทุกประโยค ทุกรายละเอียด กำลังฝังความจำของปัญหาที่เกิดขึ้นเข้าไปในสมอง ทั้งหัวหน้า ทั้งลูกน้อง ยิ่งคุยนาน ยิ่งนึกย้อน ยิ่งหาเหตุผลประกอบ ยิ่งจำแม่น คำถามว่า “ทำไม” ในบทสนทนาข้างต้น เน้นอดีตกับปัจจุบัน ซึ่งทั้งคู่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คำถามว่า “ทำไม” ไม่ได้โฟกัสสมองไปยังอนาคต แม้มันคือสิ่งที่เราต้องการ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงควรลดคำถามว่า “ทำไม” ในองค์กร และนี่ละครับ คือคำตอบว่าทำไมเราจึงควรหยุดถามเสียทีว่า “ทำไม”
…………
Anonymous
February 24, 2021บางเรื่องอยากลืม แต่จำได้แม่นมากกก