เชื่อว่าหลายคนชอบทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี โดยเฉพาะสตรอวเบอร์รีที่นิยมทานกันในช่วงฤดูหนาว รวมถึงโกจิเบอร์รีที่นิยมนำมาทานได้ทั้งแบบสด แบบแห้ง และผลไม้ตระกูลเบอร์รีที่ว่ามานี้จะเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงมากซึ่งดีต่อร่างกายโดยรวม และในบทความนี้เอง ผู้เขียนอยากแนะนำผลไม้เบอร์รีอีกอย่างหนึ่งที่มีสีน้ำเงินเข้ม นั่นก็คือบลูเบอร์รี่ แล้ว ประโยชน์ของบลูเบอร์รี่ มีอะไรบ้าง กินบลูเบอร์รี่ทุกวัน ได้ไหม โทษของบลูเบอร์รี่หากทานมากเกินไป มีอะไรบ้าง? เรามีคำตอบ
8 ประโยชน์ของบลูเบอร์รี่ ที่มากกว่าการเป็นผลไม้ทานเล่น
บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำ มีใยอาหาร วิตามินซี วิตามินเค แมงกานีส วิตามินเอและโพแทสเซียม ซึ่งประโยชน์ของบลูเบอร์รี่ จะมีด้วยกันดังนี้
1. เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
สารต้านอนุมูลอิสระจะทำหน้าที่ในป้องกันเซลล์จากอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ในร่างกายของเรา ซึ่งในบลูเบอร์รี่ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ในปริมาณสูง ทำให้การทานบลูเบอร์รี่ อาจมีส่วนช่วยชะลอวัย และอาจมีส่วนช่วยลดโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน
2. ดีต่อสุขภาพหัวใจ
การทานบลูเบอร์รี่ จะมีสารอาหารสำคัญที่ดีกับหัวใจอย่างใยอาหาร โพแทสเซียม วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ การทานบลูเบอร์รี่เป็นประจำจะมีส่วนช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตให้ลดลง ช่วยลดไขมันเลว LDL ซึ่งเป็นตัวการของโรคหัวใจ
3. มีส่วนช่วยบำรุงการทำงานของสมอง
บลูเบอร์รี่เรียกได้ว่าเป็นอาหารบำรุงสมองอย่างหนึ่งเลย เพราะสารต้านอนุมูลอิสระแอนโทไซยานินในบลูเบอร์รี่จะมีส่วนช่วยปกป้องเซลล์จากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งส่งผลทำให้สมองเกิดการเสื่อมเร็วขึ้น และยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการลดอักเสบของสมองด้วยเช่นกัน
4. เป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ช่วยจัดการน้ำตาลในเลือด
ประโยชน์ของบลูเบอร์รี่อย่างหนึ่งคือเป็นผลไม้น้ำตาลน้อย ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low glycemic index) ซึ่งจะปล่อยน้ำตาลเข้าเลือดอย่างช้า ๆ เมื่อเทียบกับผลไม้อื่น ๆ นอกจากนี้ แอนโทไซยานินยังมีส่วนช่วยเกี่ยวกับความไวต่ออินซูลิน (Insulin sensitivity) และดีกับการเผาผลาญกลูโคสด้วยเช่นกัน
5. บลูเบอร์รี่มีแคลอรี่ต่ำ
ทำให้บลูเบอร์รี่ ผลไม้ลดน้ำหนักอย่างหนึ่งที่ควรทาน แค่ 1 ถ้วยมีแคลอรี่ประมาณ 84 แคลอรี่เท่านั้น รวมถึงมีใยอาหารสูง มีน้ำด้วยเช่นกัน ทำให้เป็นผลไม้ทานเล่นยอดนิยมอย่างหนึ่งเลย
6. มีส่วนช่วยต้านการอักเสบ
เพราะการอักเสบจะเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังต่าง ๆ อย่างโรคหัวใจ โรคเบาหวาน รวมถึงโรคข้ออักเสบ การทานบลูเบอร์รี่ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จะมีส่วนช่วยลดการอักเสบลง และอาจช่วยลดโอกาสเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้
7. เป็นผลไม้บำรุงตับ
การทานบลูเบอร์รี่เป็นประจำจะมีส่วนช่วยป้องกันตับและป้องกันโรคตับ เช่น โรคไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ ซึ่งโพลีฟีนอล (Polyphenols) จะมีส่วนช่วยป้องกันไขมันจากการพอกตับได้ และมีส่วนช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน ทำให้เป็นผลไม้บำรุงตับที่ดีอย่างหนึ่ง
8. อาจช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็ง
ปฏิกิริยาออกซิเดชัน จะทำให้ DNA ของเราเสียหาย ยิ่งอายุมากก็ยิ่งเสียหาย ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในบลูเบอร์รี่ อาจมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระบางส่วนที่เข้าไปทำลาย DNA ของเราได้
กินบลูเบอร์รี่ทุกวัน ได้ไหม?
การกินบลูเบอร์รี่ทุกวัน สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้รับประโยชน์ของบลูเบอร์รี่ ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ อย่างมาก 1 ถ้วยต่อวัน หากกินมากเกินไปอาจทำให้ท้องอืดเนื่องจากใยอาหาร และอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้
โทษของบลูเบอร์รี่ หากทานมากเกินไป
แม้ว่าบลูเบอร์รี่จะมีประโยชน์หลากหลาย แต่ถ้าหากทานในปริมาณมากเกินไปก็อาจให้โทษของบลูเบอร์รี่ได้ เช่น
- ปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากบลูเบอร์รีเป็นผลไม้ที่มีใยอาหารสูง
- น้ำตาลในเลือดสูงได้ แม้ว่าบลูเบอร์รี่จะมีดัชนีน้ำตาลต่ำ แต่ถ้าทานมากเกินไปก็อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงได้
- บลูเบอร์รี่มีออกซาเลต ถ้าหากทานในปริมาณมากเกินไปทุกวันอาจเสี่ยงนิ่วในไตได้
ประโยชน์ของบลูเบอร์รี่มีด้วยกันหลากหลายเลย ซึ่งการทานบลูเบอร์รี่ทุกวันจะมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวมได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม นอกจากการทานบลูเบอร์รี่แล้ว ก็ควรทานอาหารให้ครบทุกหมู่อาหาร เลี่ยงของทอด อาหารที่มีไขมันทรานส์หรือไขมันอิ่มตัว ลดดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพโดยรวมได้เป็นอย่างดีเลยครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม :
8 วิธีล้างพิษตับด้วยตัวเอง ฟื้นฟูสุขภาพตับให้ดีโดยไม่ใช้ยา
10 ผลไม้บำรุงตับอ่อน มีส่วนช่วยดูแลสุขภาพฟื้นฟูตับอ่อน
ตับอ่อนอักเสบ กินอะไรได้บ้าง? อาหาร 6 อย่าง เป็นมิตรตับอ่อน
Line Official: @kinnworldwide (มี@)
Shopee: KINN WORLDWIDE
Lazada: KINN WORLDWIDE
Facebook: KINN
Line Shopping: KINN