สมัยที่ยังเป็นผู้รับผิดชอบกิจกรรมเพื่อสังคมของบริษัทที่สังกัด ณ เวลานั้น หนึ่งในกิจกรรมประจำปีคือการจัดโครงการรับนิสิต/นักศึกษาฝึกงาน (internship) โดยมีเงื่อนไขว่าผู้สมัครจะต้องมีผลการเรียนเฉลี่ย (GPA) ตั้งแต่ 3 ขึ้นไปและกรอกใบสมัครมาได้น่าสนใจ ว่าจุดประสงค์ของการเข้าร่วมคืออะไร คาดหวังว่าจะได้รับอะไร โดยมีรายละเอียดแจ้งกำหนดการ และกิจกรรมต่างๆ ระหว่างฝึกงาน รวมถึงการนำเสนอผลงานของกลุ่มต่อหน้าผู้บริหาร ณ วันสิ้นสุดโครงการ โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับค่าตอบแทนในรูปแบบของทุนการศึกษาด้วยจำนวนหนึ่ง
กิจกรรมดังกล่าวก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนมีอยู่ปีหนึ่ง ที่มีนักศึกษาผู้ผ่านการคัดเลือกคนหนึ่ง แทบไม่มาร่วมกิจกรรม มีข้ออ้างสารพัด แต่เพื่อนในกลุ่มก็ยินดีให้คงชื่อไว้ แม้จะทราบว่าในวันจบโครงการก็อาจจะมาร่วมนำเสนอผลงานไม่ได้ คำถามง่ายๆ จากทีมงานของดิฉัน คือ “เราควรจะยังคงจ่ายค่าตอบแทนให้น้องคนนี้มั้ยคะ?”
คำตอบในใจของคุณคืออะไรและเพราะอะไรคะ
- ไม่จ่าย เพราะนักศึกษาคนนี้ไม่มาร่วมกิจกรรม
- ไม่จ่าย เพราะบริษัทไม่ได้อะไรจากนักศึกษาคนนี้
- จ่าย ตามหน้าที่ของบริษัท
- จ่าย เพราะตั้งงบไว้แล้วต้องใช้ให้หมด
- ข้อมูลไม่เพียงพอจะตัดสินใจ
หากคิดตามหลักความยุติธรรรมของการต่างตอบแทน ก็ควรจะตอบ ก. หรือ ข. แต่ในความเป็นจริง โจทย์ข้อนี้ ไม่ต่างอะไรกับการจ้างงานพนักงานแต่ละคนของบริษัท ลองฟังดูนะคะ แล้วลองคิดอีกครั้งว่าท่านจะตอบข้อไหน
ในการจ้างงานแต่ละครั้ง ฝ่ายบุคคลก็ทำได้แค่เพียง อ่านข้อมูลอันสวยหรูที่ไม่รู้ว่าส่วนไหนจริง ส่วนไหนพูดไม่หมด และไม่มีใครใส่ข้อมูลด้านลบ เช่น ไม่รับผิดชอบ ไม่สนใจงานของส่วนรวม เป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคลที่ต้องพยายามค้นหาสัญญาณต่างๆ ในช่วงของการสัมภาษณ์งาน ซึ่งก็มักไม่เกิน 1 ชั่วโมง แล้วจะต้องตัดสินใจ เลือกผู้สมัครที่ดูดีที่สุดที่มีในมือ หรือต้องประกาศรับสมัครเพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่ก็ไปรอใช้สิทธิช่วงทดลองงานในการสังเกตและประเมินพฤติกรรมและความสามารถที่แท้จริงของพนักงานเข้าใหม่แต่ละคน และหลายๆ ครั้ง ก็ไม่สามารถบอกปฏิเสธได้เนื่องจากหาคนที่ดีกว่าแทนไม่ได้ จำใจต้องยอมรับประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำกว่าที่คาดหวังไว้จากเมื่อตอนอ่านใบสมัคร
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าพนักงานหลายคนทำงานได้ไม่ถึงความคาดหวัง แต่ก็ไม่มีบริษัทใดที่สามารถวัดออกมาเป็นตัวเงินได้ชัดเจนรายวันได้ว่าพนักงานแต่ละคนพึงได้ค่าตอบแทนจริงเท่าไหร่ เพราะในมุมของพนักงาน ถือว่า ตนพึงได้ไม่ต่ำกว่า เงินเดือน หรือ ค่าจ้างตามสัญญาจ้าง สิทธิของนายจ้างตามกฎหมายที่พอจะทำได้ คือมักเสนอเงินเดือนที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วจ่ายเพิ่มแก่ผู้ที่ทำงานได้ถึงระดับที่บริษัทพึงพอใจ หรือใช้วิธีสะท้อนผ่านผลประเมินประจำปีที่ผูกกับโบนัส
ย้อนกลับมาที่กรณีตัวอย่างของนักศึกษาฝึกงานนี้ ดิฉันตัดสินใจจ่ายค่าตอบแทน ด้วยเหตุผลที่ว่า บริษัทพึงทำตามหน้าที่ที่แจ้งไว้ตามที่ประกาศต่อสาธารณชน และนักศึกษาผู้นั้นก็มีอดีตหรือผลการเรียนที่ทำให้เราอุปมาได้ว่าเป็นที่น่าสงเสริมให้ได้เข้าร่วมโครงการ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของโครงการดังกล่าว เพราะในช่วงเวลาอันสั้นและด้วยงบประมาณที่ไม่ได้มากนัก บริษัทเองไม่ได้คาดหวังว่าผลการศึกษาของนักศึกษาฝึกงานจะนำไปสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากนาก เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้สัมผัสประสบการณ์จริงในการทำงานเสียมากกว่า
เคสตัวอย่างนี้ ดิฉันก็มักนำไปใช้ในการจัดปฐมนิเทศน์ให้กับพนักงานใหม่ เพื่อให้ได้แง่คิดว่า พนักงานใหม่ ก็คล้ายกับ นักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งที่ได้รับการจ้างที่อัตราเงินเดือนหนึ่งอันเนื่องมาจาก “กรรมเก่า” หรือผลการเรียนหรือประสบการณ์การทำงานในอดีต เมื่อได้เริ่มทำงานแล้ว บริษัทคงไม่สามารถจ่ายเงินเพิ่มให้กรณีที่ทำงานมากเป็นพิเศษ หรือขอเรียกเงินคืนในวันที่อู้งานแบบรายวันได้ ทุกคนมีสิทธิ์จะทำงานแค่พอให้สมกับค่าตอบแทนที่ได้รับ หรือทำงานไปพร้อมๆ กับพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ เพื่อจะมีโอกาสทำได้ดีขึ้นในการต่อรองค่าตอบแทนของตนเองในครั้งต่อไป
กรณีของนักศึกษาผู้นั้น แม้เขาจะได้รับค่าตอบแทนไปเหมือนๆ คนอื่น ทั้งๆ ที่แทบไม่ได้ร่วมกิจกรรม แต่สิ่งที่ต่างกันคือ หากเขากล้าระบุลงในประวัติของตนว่าเคยมาฝึกงานที่บริษัท ดิฉันก็กล้าให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาแก่บริษัทที่ติดต่อมาสอบถามว่าพฤติกรรมเขาเป็นอย่างไร
……….
โดย ดร.วรัญญา อัจฉริยะชาญวณิช
Change Tutor – นักพัฒนาดาวเด่นในองค์กรแบบพุ่งเป้า
Founder & Managing Director, Wintegrate 99 Co., Ltd.
DCP 266/19, Certified Project Management Professional of PMI
ผู้แต่งหนังสือ The Change Tutor – จะเรียกดิฉันว่าหมอดูก็ได้ถ้าคุณยอมเปลี่ยน
27/10/2563
Anonymous
November 5, 2020ขอบคุณค่ะ ขอแชร์