เจ้าของกิจการหรือผู้จัดการหลายคน ขี้สงสาร อยากช่วยคนตกทุกข์ได้ยากให้มีงานทำ ความคิดแบบนี้ “ไม่ผิด” และน่าจะทำให้องค์กรกลายเป็นแหล่งอุ้มชูสังคมที่น่าชื่นชม ถ้าทำแล้ว ลูกน้องซาบซึ้งในพระคุณ และตอบแทนกลับด้วยการ ตั้งใจทำงาน ตอบแทนคุณด้วยการเป็นพนักงานที่ดี ร่วมมือร่วมใจส่งมอบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ดีสู่สังคม
แต่เจ้านายหลายคน ลึกๆ แล้ว ไม่ได้สงสาร แต่ต้องการเป็นที่รักของพนักงาน จน กลัวพนักงานเกลียด ทำให้มักใช้แต่พระคุณมากกว่าการใช้พระเดช หรือไม่กล้าออกคำสั่งเด็ดขาดหรือทำให้ลูกน้องไม่พอใจ ทั้งๆ ที่พนักงานทำผิดข้อตกลงซ้ำซาก
ถ้าท่านกำลังมีอาการดังต่อไปนี้ ท่านกำลังอยู่ในสถานการณ์กลัวลูกน้องเกลียด
- มักจะใช้ประโยคคำถาม เช่น “ช่วยทำ…. หน่อยได้มั้ย” มากกว่าการสั่งการตรงๆ เช่น “ขอมอบหมายให้คุณไปทำ…”
- มักเป็นเจ้าภาพในการจัดสังสรรค์พนักงาน ด้วยเงินตนเอง ในทุกโอกาส
- แก้ต่างแทนพนักงานในทุกเรื่อง หรือช่วยทำงานแทน เพื่อให้ลูกน้องมีผลงานเข้าเกณฑ์
ถ้าท่านเป็นครบทั้ง 3 ข้อ ปัญหาที่จะเกิดต่อไปคือทำกำลังทำร้ายอนาคตของลูกน้อง ในแบบเดียวกับ “พ่อแม่รังแกลูก” ด้วยการป้อนและเอาใจลูกทุกอย่างเพื่อให้ลูกรักพ่อแม่ แต่ลูกก็จะเติบโตแต่ตัว ขาดทักษะในการเอาตัวรอดด้วยตนเอง เมื่อท่านเองถูกโยกย้าย พนักงานที่ท่านลงทุนเอาใจพวกเค้าไว้ก็ไม่สามารถตามไปทำให้ท่านมีความสุขได้ แต่พวกเค้าเองอาจจะต้องหางานใหม่เมื่อพบว่า หัวหน้าคนใหม่ไม่น่ารัก (ไม่เอาใจพวกเค้าเก่ง) เท่าท่าน แล้วพาลเกิดอยากหางานใหม่ ทั้งๆ ที่ตนเองก็ลืมไปว่ายังไม่มีผลงานอะไรเด่นที่ทำได้ด้วยตนเองเลย
ถ้าท่านอยากช่วยคนตกทุกข์ได้ยากให้มีงานทำและขอบคุณท่านในวันที่เค้าประสบความสำเร็จ สิ่งที่ท่านจำเป็นต้องฝึกทำให้เป็นนิสัยคือ
- กล้าสั่งการ แม้จะรู้ว่าเป็นงานที่ลูกน้องไม่ชอบทำ แต่เป็นสิ่งที่จะทำให้พวกเค้ามีทักษะใหม่
- ลดระดับของการสังสรรค์เรื่องส่วนตัว เช่น งดซื้อของขวัญ เปลี่ยนเป็นคำอวยพร ในวันเกิด เพิ่มการชื่นชมด้านพัฒนาการการทำงาน เช่น เมื่อทำงานได้ดี กล่าวชมต่อหน้าทีมงาน และต่อหน้าผู้บริหาร ให้ลูกน้องรับทราบว่าท่านเป็นไมค์ขยายเสียงความสามารถของเขา
- เมื่อมีความผิดพลาด ให้เวลาลูกน้องคิดด้วยตนเอง ทบทวนความผิดพลาด และลดอัตตาของตนเองลงก่อนที่จะปลอบใจและหาวิธีช่วย
- หากลูกน้องไม่เปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่ทำตามคำสั่ง การแสดงอารมณ์โดย ใช้เสียงดัง ใส่สีหน้า หรือการทุบโต๊ะ ก็เป็นบทบาทที่ท่านควรฝึกแสดงให้เป็น เพราะถือเป็นเครื่องมือสำคัญเสมือนไม้เรียวสำหรับคุยกับเด็กดื้อ เพื่อให้ลูกน้อง (ที่ยังไร้เดียงสาเกินไปในวันนี้) ได้รู้ตัวและกลัวพอที่จะทดลองทำตามคำสั่งของท่านทันที โดยไม่มัวแต่เถียงเพื่อเอาชนะจนลืมว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบผลงานตัวจริง
- กรณีมีลูกน้องหลายคน การเขียนกฎให้ชัดเจน และตัดสินอย่างตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฎิบัติ จะทำกให้ลูกน้องรับรู้ได้ว่า ท่านเป็นคนแยกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว จะทำให้พนักงานทุกคนให้ความเคารพกฎ และเคารพท่านไปพร้อมๆ กัน
ในทางกลับกัน หากท่านไม่เคยกลัวลูกน้องเกลียด และไม่เคยคิดจะขอความร่วมมือ หรือ ไม่เคยสนใจเรื่องส่วนตัวของลูกน้องคนใดเลย ท่านก็น่าจะเป็นผู้นำที่เชื่อว่าธุรกิจของท่านมีคนรอสมัครเข้าทำงานเสมอ ไม่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญพิเศษใด ใครทำก็ได้ ไม่ว่ามาทำงานด้วยอารมณ์ใด คุณภาพสินค้าหรือบริการไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งคงเป็นธุรกิจในฝันที่หาได้ยาก
จุดสมดุลอยู่ที่ใด? คงดูที่พัฒนากรขององค์กร และของพนักงานรายคน ที่ควรมีไปพร้อมๆ กันตามอายุองค์กร และอายุงานที่เพิ่มขึ้น
………….
โดย ดร.วรัญญา อัจฉริยะชาญวณิช
Change Tutor – นักพัฒนาดาวเด่นในองค์กรแบบพุ่งเป้า
Founder & Managing Director, Wintegrate 99 Co., Ltd.
DCP 266/19, Certified Project Management Professional of PMI
ผู้แต่งหนังสือ The Change Tutor – จะเรียกดิฉันว่าหมอดูก็ได้ถ้าคุณยอมเปลี่ยน
27/10/2563