วิตามิน เป็นสารอาหารอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมและการทำงานของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอที่สำคัญต่อดวงตาและการมองเห็น วิตามินบี 12 ที่มีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง รวมวิตามินและแร่ธาตุชนิดอื่นด้วยเช่นกัน ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงวิตามินอีที่หลายคนอาจเคยเห็นตามโฆษณาผลิตภัณฑ์สกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นอกจากจะดีต่อผิวแล้ว ประโยชน์ของวิตามินอีอื่น ๆ มีอะไรบ้าง ร่างกายควรได้รับวิตามินอีเท่าไหร่ต่อวัน แล้วอาหารอะไรบ้างที่มีวิตามินอีสูง
วิตามินอี คืออะไร?
วิตามินอี เป็นสารประกอบอย่างหนึ่งที่ลำลายได้ในไขมัน หมายความว่าร่างกายจะดูดซึมและขนส่งวิตามินอีได้เหมือนกับไขมันในอาหาร และวิตามินอีก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่โดดเด่นชนิดหนึ่งด้วยเช่นกัน
ประโยชน์ของวิตามินอี 6 อย่าง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดีต่อสุขภาพผิว
ประโยชน์ของวิตามินอี เช่น ช่วยดูแลสุขภาพผิว ดีต่อสุขภาพหัวใจ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงสุขภาพดวงตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อาจมีส่วนช่วยลดปวดประจำเดือน
1. ช่วยดูแลสุขภาพผิว
เหตุผลที่ผลิตภัณฑ์สกินแคร์และผิวหนังหลายผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของวิตามินอี เพราะวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างหนึ่งที่ช่วยลดการอักเสบ สมานผิว และช่วยลดการกักเก็บความชื้น นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากการทำลายของยูวีด้วยเช่นกัน
2. ดีต่อสุขภาพหัวใจ
เนื่องจากประโยชน์ของวิตามินอีอย่างหนึ่งคือการป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันจากคอเลสเตอรอลหรือไขมันเลว LDL ทำให้การทานอาหารทีมีวิตามินอีจะมีส่วนช่วยบำรุงหัวใจ และช่วยลดการอักเสบของเส้นเลือดได้เช่นกัน
3. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ทำให้วิตามินอีเป็นวิตามินอย่างหนึ่งที่สำคัญอย่างมากต่อร่างกาย ช่วยชะลอความชรา ลดความเสี่ยงโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรงมะเร็ง หรือโรคเรื้อรังต่าง ๆ
4. บำรุงสุขภาพดวงตา
วิตามินอี มีส่วนช่วยในการปกป้องเซลล์ดวงตา หากได้รับวิตามินอีอย่างสม่ำเสมอในปริมาณที่พอเหมาะ ก็มีส่วนช่วยในการป้องกันและชะลอโรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุได้ ทำให้การทานอาหารที่มีวิตามินอีรวมกับสารอาหารอื่น ๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก และเป็นอาหารบำรุงสายตาสำหรับผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน
5. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
วิตามินอี เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของภูมิคุ้มกัน ซึ่งร่างกายคนเราต้องการภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ไวรัสและสิ่งแปลกปลอมที่อาจทำให้เราป่วย และเป็นวิตามินที่สำคัญอย่างมากกับผู้สูงอายุที่การทำงานของภูมิคุ้มกันเริ่มต่ำลง
6. อาจมีส่วนช่วยลดปวดประจำเดือน
ช่วงประจำเดือน เป็นช่วงที่นอกจากชวนปวดท้องแล้วก็ชวนปวดหัวด้วย ทำให้การทานยาลดปวดประจำเดือนเป็นสิ่งสำคัญ และยาลดปวดประจำเดือนก็มักจะมีวิตามินอีเป็นส่วนสำคัญด้วย ทำให้การทานอาหารหรืออาหารเสริมวิตามินอีก็อาจมีส่วนช่วยในการลดปวดประจำเดือนได้เช่นกัน
ปริมาณวิตามินอีต่อวัน ควรได้รับเท่าไหร่ ถึงจะได้ประโยชน์ของวิตามินอี
เด็กทารก
- 0-6 เดือน : 4 มิลลิกรัม/วัน
- 7-12 เดือน : 5 มิลลิกรัม/วัน
วัยเด็ก
- 1-3 ปี : 6 มิลลิกรัม/วัน
- 4-8 ปี : 7 มิลลิกรัม/วัน
- 9-13 ปี : 11 มิลลิกรัม/วัน
วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ วัยสูงอายุ
- 15 มิลลิกรัม/วัน
ตั้งครรภ์
- 15 มิลลิกรัม/วัน
ให้นมบุตร
- 19 มิลลิกรัม/วัน
กินวิตามินอีมากเกินไป ส่งผลเสียอย่างไร?
หากทานอาหารหรืออาหารที่มีวิตามินอีเกินปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน ก็อาจเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกมากเนื่องจากวิตามินอีในปริมาณมากเกินไปจะรบกวนการแข็งตัวของเลือด อาจมีอาการคลื่นไส้หรือท้องเสีย เหนื่อยล้า รวมถึงอาการภาพเบลอ
อาหารที่มีวิตามินอีสูง หาได้จากไหนบ้าง?
ถั่วและเมล็ด : อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน เฮเซลนัท เมล็ดสน
น้ำมันพืช : น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันจมูกข้าวสาลี น้ำมันมะกอก
ผักใบเขียว : ผักโขม ผักเคล ผักชาร์ด บรอกโคลี
ผลไม้ : อะโวคาโด มะม่วง กีวี่
ประโยชน์ของวิตามินอีมีหลากหลายอย่าง ช่วยดูแลสุขภาพผิว เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงหัวใจ บำรุงดวงตา รวมถึงมีส่วนช่วยในการบรรเทาปวดประจำเดือน ซึ่งวิตามินอีสามารถหาได้จากหลายแหล่ง ทั้งจากอาหารโดยตรงและอาหารเสริมก็ได้เช่นกัน
อ่านบทความเพิ่มเติม :
7 ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ผลไม้บำรุงผิว เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน